วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

- เมื่อไรจึงจะเสียสาว

       สังคมไทยในอดีตมักจะถือเรื่องพรหมจันทร์เป็นเรื่องที่สำคัญ คุณผู้หญิงมักจะถูกสั่งสอนให้รักนวลสงวนตัว ไม่ให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัวง่ายๆ ความบริสุทธิ์ความสาวจะเก็บไว้สำหรับสามีเมื่อได้แต่งานแล้ว ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะยึดถือเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ส่วนผู้ชายก็มักจะคาดหวังว่าภรรยาของตัวเองเป็นสาวบริสุทธิ์ 100% บางคนถึงกับตรวจคราบโลหิตหลังจากการแต่งงานวันแรก เพื่อจะดูว่าเธอยังบริสุทธิ์หรือไม่ แต่ปัจจุบันสังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย ผู้หญิงเริ่มมีการเสียตัวก่อนแต่มากขึ้น เสียตัวตั้งแต่อายุยังน้อย และบางคนก็เปลี่ยนคู่บ่อย เมื่อจะแต่งงานก็กลัวว่าแฟนใหม่จะรู้ว่าตัวเองไม่บริสุทธิ์แต่สำหรับผู้ชายส่วนใหญ่ยังมีความคิดเหมือนเดิม คือต้องการผู้หญิงบริสุทธิ์ไว้เป็นคู่ครอง

ผู้หญิงหลายคนเมื่อไปเที่ยวกับแฟนเมื่อถูกแฟนขอ ไม่กล้าปฏิเสธกลัวแฟนไม่รัก บางคนถือว่าการเสียตัวจะเป็นการผูกพัน สำหรับผู้ชายการได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงถือเป็นเท่ เขาไม่ได้คิดถึงความผูกพัน ก่อนที่คุณจะยอมเสียตัวให้แฟน เรามีข้อคิดให้พิจารณา

       1 สังคมของคุณยอมรับเรื่องการเสียตัวก่อนแต่งหรือไม่ จะมีผู้ชายกี่คนจะแต่งงานด้วยหากเขารู้ว่าคนที่เขาจะแต่งเคยเสียตัวมาก่อน หากสังคมไม่ยอมรับการเสียตัวให้คนที่คุณรักโดยที่ยังไม่แต่งงาน ก็จะถือเป็นเรื่องเสี่ยงเกินไปที่จะยอมเสียตัวเพื่อหวังว่าจะเป็นการมัดใจ

       2 คุณได้ปรึกษาพ่อ แม่คุณเรื่องการมีเพศสัมพันธุ์ก่อนแต่งหรือไม่ อย่าลืมว่าคนที่รักคุณไม่ใช่มีเพียงคนรักเท่านั้น พ่อแม่เป็นคนที่รักเรามากที่สุด และไม่หวังผลตอบแทนจากเรา ส่วนคนรักเราไม่สามารถทราบได้ว่าเบื้องหลังแล้วเขาต้องการอะไร บางที่เมื่อเขาได้สิ่งที่เขาต้องการแล้ว เราก็อาจจะไม่มีคุณค่าสำหรับเขาอีกต่อไป

       3 ความสาวหรือบริสุทธิ์ของคุณมีได้เพียงครั้งเดียว เมื่อคุณเสียไปคุณจะไม่สามารถเรียกคืนได้อีก ดังนั้นการที่จะให้สิ่งที่เป็นสิ่งเดียว มีได้ครั้งเดียวควรที่จะมีความรอบครอบ ควรจะมอบให้แก่คนที่คุณคิดว่าพิเศษที่สุด และเป็นพ่อของลูกของคุณ

       4 หากกลุ่มของคุณส่วนใหญ่จะเสียตัวก่อนแต่งงาน จำเป็นหรือไม่ที่เราจะต้องเป็นเช่นนั้นจึงจะเข้ากลุ่มได้ การเลียนแบบควรจะเลียนในสิ่งที่ดี สิ่งไม่ดีก็ไม่ควรจะเลียน หากคุณไม่เสียตัวก่อนแต่ง คุณจะถูกล้อเลียนหรือไม่ ในความเป็นจริงคุณจะต้องมีความคิดเป็นของตัวเองอย่าให้ความคิดของกลุ่มมาโน้มเน้าให้เราทำในสิ่งที่ไม่ดี คิดว่าอะไรเหมาะสม เมื่อไรจึงจะถึงเวลา ผลดีผลเสีย ผลที่จะกระทบในอนาคต

       5 คุณคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์จะทำให้คุณเป็นผู้ใหญ่หรือไม่ การมีเพศสัมพันธ์จะทำให้คุณได้รับการยอมรับในกลุ่มคุณหรือไม่ การมีเพศสัมพันธ์จะทำให้แฟนรักคุณเพิ่มขึ้น การมีเพศสัมพันธ์จะทำให้คุณเด่นขึ้นมา หากคุณคิดเช่นนั้นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง การมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ทำคุณเป็นผู้ใหญ่หรือการยอมรับ หรือแฟนจะรักมากขึ้น คุณต้องเปลี่ยนความคิดของคุณ นอกจากนั้นคุณอาจจะถูกดูถูกเสียตัวง่ายๆ และหมดคุณค่าสำหรับเขา

       6 คุณรู้สึกอย่างไรที่ต้องนอนโดยที่ไม่ใส่เสื้อผ้า ถูกสัมผัสร่างกาย ถูกจับต้องบริเวณของสงวน รวมทั้งวิธีการอื่นๆ หรือคุณรู้อย่างไรเมื่อทำเป็นฝ่ายกระทำ หากคุณว่ายังไม่พร้อมก็ควรจะหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธุ์

       7 ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับแฟนเป็นลักษณะไหน แค่คนรู้จัก แค่คนใกล้ชิด แค่คู่รัก หากเพียงแค่นั้นคุณก็ไม่ควรจะเสียตัวให้เขา หากความสัมพันธ์นั้นเป็นคนที่คุณจะแต่งงาน ครอบครัวแฟนและครอบครัวคุณรับทราบคุณก็อาจจะพิจารณายอมเขา

       8 แฟนคุณพร้อมที่จะรับผิดชอบกับสิ่งที่จะเกิดหรือไม่ เช่นการตั้งครรภ์ หรือพร้อมที่จะแต่งงานกับคุณหรือไม่ การจะดูว่าเขาจะรับผิดชอบหรือไม่อย่าเพียงแค่รับฟังจากคำตอบต้องดูพฤติกรรมของเขา หากยังต้องขอเงินพ่อแม่ หรือไม่มีความรับผิดชอบ คุณควรจะเมินหนีเขาจะดีกว่า

       9 แฟนคุณเจ้าชู้หรือไม่ อย่าคิดว่าคุณจะสามารถหยุดพยศเขาได้ คนเจ้าชู้คงจะหยุดพฤติกรรมสำส่อนทางเพศไม่ได่ นอกจากจะเสียใจคุณอาจจะต้องติดโรคจากแฟนคุณ

       10 คุณได้ปรึกษาวิธีคุมกำเนิดกับแฟนหรือยัง...
       11 คุณเตรียมตัวที่จะตั้งครรภ์หรือไม่ หากไม่ต้องเตรียมวิธีคุมกำเนิดก่อน
       12 คุณคิดว่าความรักของคุณจะยังยืนหรือไม่หากคุณเสียตัวให้เขา
       13 คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าแฟนคุณจะไม่นำโรคติดต่อมาให้คุณ ได้เจาะเลือดตรวจหาโรคติดต่อหรือยังโดยเฉพาะโรคเอดส์ หากยังไม่แน่ใจก็ไม่ควรเสี่ยงคุณอาจจะเป็นคนที่โชคร้าย

- อาหารเพิ่มพลังเพศ


       ความแข็งแรงของอวัยวะเพศและร่างกายจำเป็นต้องได้รับการออกกำลังกาย การพักผ่อน และอาหารที่มีคุณภาพ คนทั่วไปที่รับประทานอาหารได้มักจะไม่จำเป็นต้องเสริมอาหารหรือวิตามิน แต่สำหรับผู้ที่เลือกรับประทานอาหาร หรือรับประทานอาหารซ้ำๆกัน ไม่มีความหลากหลายของอาหาร หรือไม่รับประทานผักและผลไม้ หรือผู้ที่เจ็บป่วยอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ก็อาจจะทำให้เกิดการขาดสารอาหารบางชนิดที่มีความจำเป็นสำหรับความแข็งแรงของร่างกายและองคชาติ สารอาหารซึ่งจำเป็นได้แก่




Vitamin C

       วิตามินซีจะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปอวัยวะเพศเพิ่มขึ้น โดยการที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดี และยังทำให้ตัวเชื้อ Sperm แข็งแรงและวิตามินซียังป้องกันไม่ให้เชื้อ sperm จับกันเป็นกลุ่ม ขนาดที่แนะนำ 500-1000 มก/วัน คลิกอ่านที่นี่

L-arginine

       L-arginine เป็นกรด amino acid ที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง และก็พบได้ในอาหารหลายชนิด การได้รับสารชนิดนี้จะช่วยในการแข็งตัวของอวัยวะเพศ เนื่องจากสารนี้เป็นสารตั้งต้นของการผลิต Nitric oxide Nitric oxide จะเพิ่มเลือดให้ไปอวัยวะเพศเพิ่มขึ้นโดยการขยายหลอดเลือดที่อวัยวะเพศทำให้มีการแข็งตัวดีขึ้น และอวัยวะเพศมีขนาดใหญ่ขึ้น ขนาดที่แนะนำ 3-6 มก./วัน รับประทาน 2-6 สัปดาห์จึงจะเห็นผล ควรจะรับประทานก่อนการร่วมเพศ ครึ่งชั่วโมง

ใบแปะก๊วย Ginkgo biola

       เราทราบกันดีว่าใบแป๊ะก๊วยจะขยายเส้นเลือดสมองทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ป้องกันสมองเสื่อม เรานำคุณสมบัติของการขยายเส้นเลือดมาใช้พบว่านอกจากจะขยายเส้นเลือดสมองแล้วใบแป๊ะก๊วยจะขยายเส้นเลือดที่ไปเลี้ยง มือ เท้า และอวัยวะเพศ และยังทำให้เส้นเลือดขยายตัวรับเลือดได้มากขึ้น มีการทดลองใช้กับผู้ชายพบว่าหลัง 6 สัปดาห์การแข็งตัวของอวัยวะเพศดีขึ้น ขนาดที่แนะนำ 80 มก./วันละ 3 ครั้ง

โสม Ginseng

       โสมเป็นเครื่องดื่มที่นิยมทั้งในประเทศจีน เกาหลี เป็นอาหารบำรุงฮ่องเต้มาตั้งแต่อดีต โสมจะช่วยเพิ่มกรด Nitric oxide ในอวัยวะเพศทำให้เลือดไปเลี้ยงเพิ่มขึ้น ทำให้มีการแข็งตัวดีขึ้น โสมยังกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ส่วนประกอบบางชนิดในโสมจะมีลักษณะเหมือนฮอร์โมนเพศเพศชาย จึงไม่แปลกใจที่โสมเป็นอาหารที่บำรุงทางเพศ ขนาดที่แนะนำ 100-300 มก.วันละ 2 ครั้งไม่แนะนำในคนที่เป็นความดันโลหิตสูง

       มีการศึกษาพบว่าการใช้โสมสามารถช่วยผู้ป่วยกามตายด้านได้ถึงร้อยละ 67%หลังจากรับประทานโสม 1 สัปดาห์ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าโสมช่วยเพิ่มพลังร่างกาย กระตุ้นความต้องการทางเพศ เพิ่มการไหลเวียนไปยังอวัยวะเพศ เพิ่มฮอร์โมนเพศชาย

ยาเม็ดเพิ่มขนาด

       หากท่านเป็นนักท่องเวปโดยเฉพาะเวปเกี่ยวกับเรื่องเพศท่านจะพบกับโฆษณายาเม็ดเพิ่มเพิ่มขนาด หรือยาเม็ดเพื่อความอดทนได้ผล 100% ส่วนประกอบของยาเม็ดเหล่านี้ประกอบไปด้วยวิตามินดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีสมุนไพรหลายชนิด สมุนไพรที่นิยมใส่มากที่สุดคือ Yohimbe โดยมีการทดลองในสัตว์พบว่ายานี้จะเพิ่มการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตสูง และการไหลเวียนไปยังอวัยวะเพศทำให้อวัยวะเพศแข็งมากขึ้น ใหญ่มากขึ้น แต่การที่จะให้มีขนาดเพื่อขึ้น ร่างกายต้องแข็งแรงโดยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารสุขภาพ งดสุรา บุหรี่


เครดิต http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/sex/diet.htm

- คนปกติมีขนาดเท่าไหร่

       ขนาดอวัยวะเพศ ขึ้นกับกรรมพันธุ์ เชื้อชาติ ในความเป็นจริงหากเราไม่ไปมีเพศสัมพันธ์กับชนชาติอื่น ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะหากจะใหญ่ก็ใหญ่ด้วยกันทั้งสองเพศ หากจะเล็กก็เล็กด้วยกันทั้งสองเพศ ลองดูว่าขนาดของฝรั่งมีขนาดเท่าไร

การวัดความยาว ให้วัดจากโคนอวัยวะเพศจนถึงปลายอวัยวะเพศ(ไม่ใช่หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ)

การวัดขนาดเส้นรอบวง วัดส่วนกลางของอวัยวะเพศ

ความยาวของอวัยวะเพศ 6.4±1.1 นิ้ว
ความกว้างของอวัยวะเพศ 5.2±0.8นิ้ว

       ลองเปรียบเทียบกับตัวคุณเองว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ แต่หากจะมีขนาดเล็กกว่าคนทั่วไปก็ไม่ต้องกังวล อาวุธจะใหญ่จะเล็กไม่ส่วนประกอบที่สำคัญ แต่ไม่ใช่ขนาดเท่านิ้วก้อยเด็กซึ่งก็เล็กเกินไป ความสำคัญอยู่กระบวนท่า ลีลา และที่สำคัญการบริหารจะสามารถเพิ่มขนาดของอวัยวะเพศ


เครดิต http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/sex/size.htm

- เจ็บขณะร่วมเพศ

       การมีเพศสัมพันธ์อย่างมีความสุขจะต้องมีความพร้อมทั้งร่างและจิตใจของทั้งสองฝ่าย หากไม่พร้อมส่วนใดส่วนหนึ่งแทนที่จะมีความสุขก็อาจจะเป็นทุกข์มา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การฝืนความรู้สึกหรือความไม่พร้อมอาจจะก่อให้เกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อการมีเพศสัมพันธ์ เช่นหากอีกฝ่ายกำลังป่วยหรือกำลังเครียด หรือเหนื่อยจากการงานมากไปหากจะมีเพศสัมพันธ์กันขณะนั้นก็อาจจะได้รับการปฏิเสธ ดังนั้นต้องรอจังหวะให้ดีเพื่อที่จะได้ไม่เสียความรู้สึก

       หลายครั้งที่คนรักปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ก็อาจจะมีสาเหตุหลายประการ เช่นกำลังป่วย เครียด เพลียจากงาน สภาวะแวดล้อมขณะนั้นไม่เป็นใจ บางคนอาจจะปฏิเสธเนื่องจากใกล้มีประจำเดือนเพราะเพลียมาก แต่ก็มีอีกสาเหตุหนึ่งที่พบได้บ่อย และอาจจะไม่กล้าเล่าให้คนอื่นฟังได้แก่ มีอาการปวดเวลามีเพศสัมพันธ์

กลไกในการมีเพศสัมพันธ์
การที่จะรู้เรื่องเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์เราจะต้องเรียนรู้ถึงขั้นตอนในการมีเพศสัมพันธ์ดังนี้

       - ความต้องการทางเพศ Desire ความต้องการนี้อาจจะกระตุ้นด้วยความคิด จิตนาการ กลิ่น แสง เสียงหรือการเห็น ความต้องการของผู้ชายเกิดได้ง่ายกว่าผู้หญิง ความรู้สึกทางเพศอาจจะเกิดเมื่อได้เห็น ส่วนคุณผู้หญิงความรู้สึกทางเพศอาจจะเกิดยากกว่าผู้ชาย ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน
       - ภาวะตื่นตัว Arousal หลังจากที่ได้มีการเล้าโลมกันก็จะเกิดการตื่นตัวทางเพศ ผู้หญิงจะเกิดอาการคัดเต้านมเพิ่ม เต้านมจะแข็งตัวเพิ่ม ผิวตามตัวจะแดง อวัยวะหลายส่วนจะไวต่อการกระตุ้นเพิ่มขึ้น บริเวณอวัยวะเพศจะมีการเปลี่ยนแปลงมาก จะมีน้ำไปหล่อเลี้ยงช่องคลอดมากเพื่อช่วยหล่อลื่นขณะมีเพศสัมพันธ์ กล้ามเนื้อบริเวณปากช่องคลอดจะเปิด ตุ้มคลิตอริสจะมีขนาดใหญ่และไวต่อการสัมผัส มดลูกจะถูกดึงรั้ง ช่องคลอดจะมีขนาดใหญ่และลึกเพิ่มขึ้น
       - การถึงจุดสุดยอด Orgasm เมื่อถึงจุดสุดยอดของความตื่นเต้นทางเพศเรียกจุดสุดยอด ผู้หญิงจะมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ บางคนอาจจะร้องคราง กำมือหรือหยิกผู้ชาย กล้ามเนื้อช่องคลอดและมดลูกจะบีบตัวทำให้รู้สึกมีมีอะไรตอดที่อวัยวะเพศชาย
       - การคลายตัว Resolution หลังจากผ่าจุดสุดยอด ช่องคลอด มดลูก และคลิตอริสจะคลายตัวกลับสู่ปกติ

ชนิดของอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
สาเหตุของอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์เกิดได้ตั้งแต่บริเวณแคมใหญ่ หรือทางเปิดช่องคลอด ช่องคลอด และอวัยวะส่วนลึก

สาเหตุจากแคมใหญ่หรือปากช่องคลอด
จะเกิดอาการเจ็บหรือปวดบริเวณแคมเมื่อเริ่มต้นของการสอดอวัยวะเพศ หรืออาจจะเจ็บเมื่อไปสัมผัส หรือขณะล้างทำความสะอาด สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่การติดเชื้อ เช่น เริม มีแผลที่แคมใหญ่ มีฝีหรือการอักเสบ เป็นซีสซึ่งอาจจะติดเชื้อ หรืออาจจะเกิดจากพังผืด ดังนั้นหากมีอาการเจ็บดังกล่าวก็สามารถตรวจด้วยตัวเองว่ามีแผลหรือไม่ บางคนอาจจะใช้กระจกส่องดู

อาการเจ็บช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์ มีสาเหตุดังนี้

       ช่องคลอดแห้ง เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเจ็บช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์ เกิดจากช่องคลอดมีน้ำหล่อลื่นน้อยไป ซึ่งอาจจะเกิดจากที่ร่างการได้รับการกระตุ้นน้อยเกินไป ยังไม่เกิดความตื่นตัวทางเพศจึงมีน้ำไปหล่อเลี้ยงน้อย หรืออาจจะเกิดการติดเชื้อเช่นช่องคลอดอักเสบ หรือกำลังตั้งครรภ์ กำลังให้นมบุตร วัยทองซึ่งร่างกายขาดฮอร์โมน

       การอักเสบของช่องคลอด ช่องคลอดมีการอักเสบผู้ป่วยจะมีตกขาว คันช่องคลอด ปวดแสบร้อนในช่องคลอด สาเหตุอาจจะเกิดจากการติดเชื้อ ไวรัส เชื้อรา หรือแบคทีเรีย

       ช่องคลอดเกร็ง หรือที่เรียกว่า Vaginismus เกิดจากบีบรัดหรือการเกร็งของกล้ามเนื้อรอบช่องคลอดทำให้การร่วมเพศเกิดอาการเจ็บ สาเหตุที่พบบ่อยคือการร่วมเพศครั้งแรกซึ่งคุณผู้หญิงอาจจะกังวลหรือกลัวการร่วมเพศเนื่องจากได้รับข้อมูลผิดๆเช่นกลัวการฉีกขาดของช่องคลอด หรือกลัวการตั้งครรภ์ หรือบางคนกลัวการตรวจภายในทำให้เกิดการหดเกร็งและเจ็บ

อาการเจ็บเนื่องจากอวัยวะภายใน

อาการเจ็บมักจะเกิดเมื่อมีการร่วมเพศเกิดขณะที่มีการสอดอวัยวะเพศเข้าลึก หรือไปกระแทกกับอวัยวะที่มีโรคอยู่เช่น

       - โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ
       - โรคเกี่ยวกับมดลูก
       - Endometriosis คือการที่เนื้อเยื่อของมดลูกไปอยู่ผิดที่ เช่นอยู่ในช่องท้องหรือรังไข่
       - เนื้องอกในช่องเชิงกราน
       - โรคลำไส้หรือกระเพาะปัสสาวะ
       - พังผืดในช่องท้อง
       - เงื้องอกในรังไข่

เรื่องของความกลัวกับอาการเจ็บขณะร่วมเพศ

       อาการเจ็บขณะร่วมเพศสามารถเกิดได้จากสาเหตุใหญ่ๆคืออาการทางกาย และอาการทางจิต อาการทางกายได้กล่าวไว้ข้างต้น ส่านอาการทางจิต เกิดจากความกลัวทำให้กล้ามเนื้อมีการเกร็งกล้ามเนื้อช่องคลอด ความกลัวมีหลายสาเหตุเช่น กลัวการตั้งครรภ์ การการติดเชื้อ กลัวว่าทางบ้านจะจับได้ว่ามีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร หรือบางคนอาจจะมีประสบการณ์ในอดีต เช่นถูกข่มขืน ถูกขืนใจ หรือไม่ได้รับการเล้าอย่างเพียงพอ

       หากการหาความสุขของคุณทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและทำให้เกิดความทุกข์ คุณไม่จำเป็นต้องเสียสละยอมทนปวด ลองปรึกษากับแฟนคุณ หาแก้ หากแก้ไขไม่ได้ก็ควรจะปรึกษาแพทย์ เพราะอาการปวดอาจจะเป็นอาการนำของโรคอื่น


เครดิต http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/sex/pain.htm



- น้องชายมีขนาดเล็ก

       หากฟังแค่ชื่อก็เกิดความรู้สึกว่าอวัยวะดังกล่าวน่าจะมีพลัง ความแข็งแกร่ง ความยิ่งใหญ่ ความภาคภูมิใจของเจ้าของ แต่หากเจ้าของขาดความเชื่อมั่น ไม่มั่นใจในพลังงานและศักยภาพของมันก็อาจจะทำให้อวัยวะนั้นไม่มีประสิทธิภาพ ที่กำลังจะพูดก็คือเรื่องขนาดของอวัยวะเพศของท่านชาย หากท่านกังวลเพียงแค่ขนาดของอวัยวะเพศ แทนที่จะคำนึงถึงความแข็งแรง เทคนิค จะทำให้ท่านขาดความเชื่อมั่นในตัวเองซึ่งจะทำให้เกิดความล้มเหลวในเพศสัมพันธ์

บทความที่จะกล่าวจะเป็นเรื่องกลวิธีในการเพิ่มขนาดของอวัยวะเพศด้วยวิธีต่างๆกันดังนี้

การเพิ่มขนาดอวัยวะเพศโดยการใช้เครื่องมือ โดยมากเป็นเครื่องมือที่ผู้ผลิตกล่าวอ้างว่าได้ผล โดยมากจะใช้เครื่องดูดสุญญากาศ



หลักการทำงานของเครื่องมือนี้โดยการใช้ความดันในท่อซึ่งเป็นสุญญากาศรอบองคชาติซึ่งจะทำให้เลือดไหลเวียนไปยังอวัยวะเพศเพิ่มขึ้น เมื่อเลือดไหลเวียนมากขึ้นก็จะทำให้องคชาติแข็งตัว และมีขนาดเพิ่มขึ้น แต่ต้องระลึกอยู่เสมอว่าการใช้เครื่องสุญญากาศจะเป็นการเพิ่มขนาดอวัยวะเพศช่วงที่อยู่ในกระบอกเท่านั้น เมื่อออกมาสู่สภาพปกติขนาดก็จะเล็กลง

การแข็งตัวขององคชาติตามปกติจะมีการไหลเวียนของเลือดทำให้เนื้อเยื่อได้รับเลือดใหม่ซึ่งอุดมด้วยออกซิเจนและสารอาหารทำให้มีการเติบโตของเนื้อเยื่อ ตรงกันขามการใช้เครื่องสุญญากาศซึ่งเลือดที่คั่งเป็นเลือดเก่าไม่มีการไหลเวียนทำให้เนื้อเยื่อองคชาติและเส้นประสาทขาดอาหารและออกซิเจน หากใช้ระยะยาวอาจจะเกิดผลเสีย

สำหรับผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้น

เนื่องจากการใช้กระบอกสุญญากาศจะมีการเพิ่มขนาดอย่างช้าๆ ท่านที่ใจร้อนต้องการเพิ่มขนาดให้ใหญ่และเร็วจึงเพิ่มแรงสุญญากาศ อาจจะทำให้หลอดเลือดฝอยที่ผิวหนังแตกเกิดรอยช้ำที่ผิวหนัง หากโชคไม่ดีมีเลือกออกภายในองคชาติซึ่งจะทำให้องคชาติผิดรูป หรือเกิดเป็นโรคกามตายด้าน นอกจากนั้นอาจจะเกิดรอยถลอกหรือพองที่ผิวองคชาติ

คำแนะนำ

เนื่องจากการใช้เครื่องสุญญากาศทำให้องคชาติโตช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่แนะนำการใช้เครื่องสุญญากาศในการเพิ่มขนาดอวัยวะ แต่อาจจะใช้ในกรณีที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัว

       การเพิ่มขนาดอวัยวะเพศโดยวิธีธรรมชาติ เป็นวิธีที่ปลอดภัย และได้ผลค่อนข้างดี หลักการของการเพิ่มขนาดอวัยวะเพศคือการเพิ่มปริมาณเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีการขยายของเนื้อเยื่ออวัยวะเพศเหมือนกับคนที่เล่นกล้ามเมื่อบริหารบ่อยกล้ามเนื้อก็โตขึ้น เมื่อคุณบริหารไปได้ไม่กี่สัปดาห์ก็จะเห็นผล แต่หลังจากที่บริหารไปได้หลายเดือนก็อาจจะทำให้มีความยาวเพิ่มประมาณ 2 นิ้ว เส้นรอบวงเพิ่มประมาณ 1 นิ้ว การแข็งตัวของอวัยวะเพศก็ดีขึ้น คนที่มีปัญหาเรื่องกามตายด้านก็สามารถใช้วิธีนี้

การบริหารเพิ่มเพิ่มขนาดของอวัยวะเพศ
การเพิ่มขนาดของอวัยวะเพศโดยวิธีธรรมชาติคือการบริหารนั่นเอง กลไกที่จะประสบผลสำเร็จต้องประกอบด้วย

       - ท่านต้องไม่คาดหวังเกินความจริง เช่นเพิ่มความยาว 4 นิ้ว การบริหารสามารถเพิ่มได้ประมาณ 1-2 นิ้ว เพิ่มขนาดเส้นรอบวงได้ประมาณ 1 นิ้ว ข้อสำคัญอีกข้อหนึ่งคือการเพิ่มขนาดจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ คุณไม่จำเป็นต้องวัดขนาดอวัยวะเพศทุกวันเพราะคุณจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน ลองวัดทุก 1 เดือนคุณอาจจะพบกับความเปลี่ยนแปลง
       - ท่านต้องบริหารอย่างสม่ำเสมอเช่นต้องบริหารวันละ 30 นาทีก็ต้องทำให้ได้ หลังจากผ่านไปได้ 1 เดือนท่านก็จะพบกับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของความแข็ง ความแข็งแรง
       - อย่าหักโหมบริหารมากเกินไป เพราะอาจจะเป็นผลเสีย เช่นบริหาร 30 นาทีจะเริ่มเห็นผลใน 1 เดือนก็เลยบริหาร 60 นาทีเพื่อจะเห็นผลในเวลาครึ่งเดือน แต่ความจริงมันไม่เป็นเช่นนั้น

เป็นการบริหารที่เรียกว่า Jelg โดยมีหลักการเพิ่มเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของอวัยวะเพศโดยเฉพาะส่วน Corpora Cavernosa and the Corpus Spongisum ซึ่งเป็นส่วนที่เลือดไปเลี้ยงมากที่สุด เมื่อเลือดไปคั่งในส่วนนี้จะทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวหากมีเลือดไปเลี้ยงมากก็จะทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้น

วิธีการบริหารไม่ยาก ก่อนที่จะบริหารให้อาบน้ำอุ่นให้กับอวัยวะเพศซึ่งจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศ การทำการบริหารจะทำขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวไม่มาก เหมือนการรีดนมวัว โดยการกำมือรอบองค์ชาติบริเวณโคนแล้วรีดจากโคนไปส่วนปลายของอวัยวะเพศแนะนำให้ใช้เวลารีด 1-2 วินาทีให้ทำครั้ง 100-200ที ข้อสำคัญคือไม่ควรรีดขณะอวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ และควรจะใช้ครีบหล่อลื่นทา หากมีอาการเจ็บให้หยุดทันที

การบริหารท่านี้นอกจากจะทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นยังทำให้การแข็งตัวดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่อวัยวะเพศแข็งตัวไม่ดีมีการวิจัยถึงผลของการบริหารด้วยวิธีนี้

       - อวัยวะเพศเฉลี่ยยาวขึ้น 1.8 นิ้ว
       - อวัยวะเพศมีขนาดเพิ่มขึ้น 1.6 นิ้ว
       - ระยะเวลาที่ใช้ 22 นาที 4 วันต่อสัปดาห์เป็น
       - การบริหารทำให้มีความต้องการทางเพศเพิ่ม และมีจำนวนการมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น
       - อายุไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหาร



เครดิต http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/sex/Jelg.htm


- ล่มปากอ่าว

       มีคำพังเพยที่เปรียบเทียบอาการหลั่งเร็วของผู้ชายคือ ล่มปากอ่าว หรือไม่ทันนกกระจอกกินน้ำ หากจะพิจารณาจากเรื่องเรือ เรือนั้นแล่นไปแล้วกำลังอยู่ในอ่าวยังไม้ได้ออกสู่ทะเล เรือนั้นอาจจะเจอพายุอารมณ์หรือความตื่นเต้นทำให้กัปตันไม่สามารถพยุงเรือนั้นออกสู่ทะเล ทำให้เรือจมก่อนสู่เป้าหมาย หากจะแปลความหมายก็คงจะหมายถึงการที่คนไม่สามารถควบคุมการหลั่ง ยังไม่ทันได้ประกอบภารกิจก็หลั่งก่อน ท่านเคยสังเกตว่านกกระจอกกินน้ำใช้เวลานานแค่ไหน ความจริงตัวมันเล็กมันก็ต้องการน้ำไม่มาก ดังนั้นเมื่อเวลากินน้ำก็ใช้เวลาน้อย เมื่อเทียบกับคนเรา เราก็ใช้เวลาดื่มน้ำไม่มากเหมือนกัน หากจะเปรียบอาการหลั่งเร็วก็คงหมายถึงได้มีการปฏิบัติภารกิจเสร็จเร็วเกินไป

       อาการหลั่งเร็วหรือที่เรียกว่า Premature ejeculation เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุดอาการหนึ่ง เป็นปัญหาที่หนักอกทั้งสองคน ไม่กล้าไปปรึกษากับคนอื่น เพราะรู้สึกอับอาย ครั้นจะหันหน้าปรึกษากันก็อาจจะทำให้เกิดทะเลาะกันอีก หกปล่อยให้ปัญหานี้เรื้อรังก็อาจจะทำให้เกิดการแตกแยกในครอบครัว Premature ejeculation หากจะแปลตรงๆก็คือการหลั่งก่อนเวลาอันควร ซึ่งบางคนก็หลั่งตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นปฏิบัติ บางคนก็หลั่งหลังปฏิบัติไปได้เพียง 2-3 นาที ระยะเวลาการหลั่งหลังปฏิบัติในแต่ละคนไม่แน่นอน จึงไม่มีตัวเลขว่าเวลาเท่าใดจึงถือว่าปกติหรือเร็วไป แต่หากถือความพอใจของอีกคนน่าจะหมายถึงไม่สามารถปฏิบัติกามกิจจนกระทั่งอีกคนถึงจุสุดยอด

สาเหตุของการล่มปากอ่าว
       การล่มปากอ่าวเป็นสิ่งปกติซึ่งทุกๆคนต้องเคยประสบมาอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิต หากท่านจำได้ครั้งแรกในชีวิตของท่านอาจจะเร็วนกกระจอกกินน้ำด้วยซ้ำ หากท่านลักลอบได้เสียกัน และมีเรื่องเวลาเป็นตัวเร่ง บางครั้งอาจจะเร็วมากจนกระทั่งอีกฝ่ายยังนึกว่าไม่ได้เสียตัวด้วยซ้ำ ทั้งนี้เนื่องจากความตื่นเต้น ความกลัวเป็นสาเหตุ แต่เมื่อท่านอายุมากขึ้นได้มีกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับการคุมตัวเองท่านก็สามารถชะลอการหลั่งได้สำหรับสาเหตุที่พบได้บ่อยได้แก่ ความเครียด สุขภาพ ความกังวลว่าจะล้มเหลว หรือบางท่านอาจจะฝังใจจากการหลั่งเร็วในอดีต


การรักษาอาการล่มปากอ่าว

       การมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตรเมื่อออกวิ่งก็จะวิ่งเข้าเส้นชัยท่าเดียวไม่คำนึงถึงคนอื่น หากจะเปรียบเทียบกับกีฬาก็น่าจะเข้าได้กับทศกรีฑามากกว่า เพราะมีทั้งวิ่งมาราธอนซึ่งแสดงถึงน้ำอดน้ำทน วิ่งข้ามรั้ว กระโดดไกล กระโดดสูง วิ่ง 100 เมตร เพราะฉะนั้นการมีเพศสัมพันธ์ต้องมีจังหวะ ท่าทาง น้ำอดน้ำทน ความร้อนแรง และความเร็วคนปกติจะหลั่งหลังจากสอดใส่และปฏิบัติแล้ว 2-3 นาที ส่วนผู้หญิงจะถึงจุสุดยอดหลังจากสอดใส่แล้ว 12-14 นาที การรักษาภาวะนี้อาจจะต้องพิจารณาสองประเด็น คือประเด็นของคู่นอนหากเป็นคนที่ถึงจุดสุดยอดช้าหรือยาก แม้ว่าเราจะเป็นนักวิ่งมาราธอนก็ไม่อาจจะทำให้คู่รักถึงจุดสุดยอด ก็อาจจะต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่นการเล้าโลมให้มากขึ้น การใช้มือ กดออด[clitoris]หน้าประตูบ้านอาจจะวนซ้ายหรือวนขวาก็ได้จนกระทั่งมีความตื่นตัวทางเพศ หลังจากนั้นจึงจะไปค้นหาจุด G-spot เพื่อเร่งให้คู่ขามีความตื่นเต้นทางเพศเต็มที่ การใช้ปาก จนกระทั่งคู่รักมีความพร้อมจึงจะปฏิบัติการณ์ สำหรับท่านที่มีปัญหาหลั่งเร็วประเภทวิ่ง 100 เมตรออกวิ่งโดยที่ไม่ฟังสัญญาณ ลองอ่านวิธีแก้และปฏิบัติดังนี้

Masters and Johnson method

วิธีการป้องการอาการหลั่งเร็วคือการเรียนรู้ว่าเมื่อไรเราจึงจะถึงจุดสุดยอดและให้หยุดปฏิบัติการณ์ รอจนความตื่นเต้นลดลงค่อยปฏิบัติใหม่ การฝึกต้องอดทนและใช้เวลา คู่ขาต้องเข้าใจและร่วมมือในการฝึก

       ในการฝึกแรกๆอาจจะทำโดยการช่วยตัวเองก่อน ทำจนกระทั่งใกล้จุดสุดยอด แล้วให้หยุดการกระทำจนกระทั่งร่างกายมีความผ่อนคลาย จึงเริ่มช่วยตัวเองใหม่ ให้ทำเช่นนี้สลับกันหลายครั้ง บางครั้งอาจจะเปลี่ยนสถานที่หรือบรรยากาศเพื่อที่เราจะได้ฝึกควบคุม เมื่อคุณมั่นใจตัวเองจึงชักชวนคู่รักร่วมมือในการฝึก เริ่มต้นยังไม่แนะนำให้มีการร่วมเพศ แต่อาจจะให้คู่รักช่วยสำเร็จความใคร่โดยการใช้มือหรือปาก เมื่อคุณใกล้ถึงจุสุดยอดก็บอกให้คู่รักหยุดการปฏิบัติการณ์อาจจะโดยการบีบมือหรือบอกก็ได้ เมื่อคุณคลายความตื่นเต้นก็เริ่มทำใหม่ ทำซ้ำหลายครั้ง หลายๆวันจนกระทั่งคุณเริ่มมีความมั่นใจจึงจะมีการร่วมเพศจริง การเริ่มต้นต้องเริ่มท่าที่ถูกกระตุ้นน้อยที่สุดโดยการที่ผู้ชายนอน คู่รักเป็นกระทำ เมื่อได้เวลาเหมาะสมจึงพลิกเป็นคนกระทำเองจนกระทั่งถึงจุดสุดยอด หากคุณตั้งใจในการฝึกและมีความพยายาม ความสำเร็จคงจะมาถึง

Squeeze Method

วิธีการคล้ายกับวิธี Master and Johnson method เพียงแต่เมื่อหยุดปฏิบัติกามกิจให้บีบที่ปลายอวัยวะเพศเพื่อไล่เลือดไม่ให้มาคั่งเพื่อช่วยลดอาการตื่นเต้น พอหายตื่นเต้นก็เริ่มปฏิบัติกามกิจใหม่ ทำซ้ำหลายๆครั้ง

วิธีการอื่นๆ

       - มีการใช้ยาคลายวิตกกังวลบางชนิดว่าสามารถชะลอการหลั่งได้ 5-10 นาที แต่ยังไม่รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของอเมริกา
       - การใช้ครีมทาเพื่อชะลอการหลั่ง
       - การใช้ถุงยางอนามัยที่ผสมยาชาเพื่อชะลอการหลั่งซึ่งพบว่าได้ผลพอสมควร หากไม่ได้ผลอาจจะใช้ 2 ถุง
       - ท่าร่วมเพศก็มีความสำคัญ คุณควรจะนอนให้ผู้หญิงเป็นฝ่านกระทำ


วิธีการต่อไปนี้พิสูจญ์แล้วว่าไม่ได้ผล

       - การดื่มสุรา
       - สนใจสิ่งอื่นขณะร่วมเพศ
       - การฉีดฮอร์โมนเพศ
       - การกินกล่อมประสาท



เครดิต http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/sex/premature.htm

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

- การฝึกโยคะ มีข้อดีอย่างไร


การฝึกท่าโยคะทำให้เกิดท่าทางที่คงที่ สุขภาพที่ดี และกายที่เบา

       การตั้งใจฝึกท่าโยคะให้ประโยชน์มากมาย ตั้งแต่การฟื้นฟูสมดุลการทรงตัว ความยืดหยุ่น ความแม่นยำ สุขภาพ และร่างกายที่แข็งแรง จนถึงการสร้างความสงบด้านจิตใจ ความสมดุลทางอารมณ์ และความแข็งแรง "ภายใน"

       ในแง่ของร่างกาย ท่าโยคะช่วยกระตุ้นต่อม อวัยวะ กล้ามเนื้อและผ่อนคลายความปวดเมื่อย ทำให้การย่อยอาหารและการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น อาการอันมีผลมาจากความเครียด เช่น การนอนไม่หลับ ความเหนื่อยล้า กล้ามเนื้อกระตุก ความกังวล และอาการอาหารไม่ย่อย จะดีขึ้นมาก

       การฝึกท่าโยคะอย่างต่อเนื่องจะมีผลอย่างล้ำลึกต่อร่างกายภายใน โดยทำให้เกิดความมั่นคงทางอารมณ์ สมาธิ และความมั่นใจ


เครดิต http://learners.in.th/blog/network-sru/115902?class=yuimenuitemlabel

- ทำไมต้องฝึกโยคะ


       ปัจจุบันมนุษย์ในเมืองใหญ่ ๆ ทั้งหลาย ระบบชีวิตของมุนษย์ได้ถูกกระทำจากสภาพแวด ล้อมในด้านต่าง ๆ รวมถึงอาชีพต่าง ๆ ในลักษณะที่ก่อผลด้านลบต่อสิ่งที่เราเรียกว่าชีวิต มากยิ่งขึ้น ในด้านร่างกาย ต้องทำงานตรากตรำวันละหลาย ๆ ชั่วโมง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แห่งความอยู่รอด ในสภาพการณ์เช่นนี้ได้ทำให้มนุษย์อ่อนแอลงทุก ๆ ขณะ

       จิตใจมนุษย์ก็อ่อนล้าเช่นเดียวกับร่างกาย ระบบสังคมที่ดำเนินไปด้วยความเร่งรัด แข่งขัน เอารัดเอาเปรียบ ทำให้จิตใจของมนุษย์ต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างเต็มที่ ลักษณะรวม ที่เด่นเด่นชัดของมนุษย์ในยุคปัจจุบันคือ ความรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ความรู้สึกทะยานไป ไปข้างหน้าตลอดเวลา ในสภาพเช่นนี้ อยากที่มนุษย์จะพอสันติสุข คงมีแต่ความทุกข์ กล่าว โดยรวม มนุษย์สมัยใหม่ดำเนินชีวิตอยู่ในท่ามกลางความทุกข์ ความอ่อนแอของทั้งร่างกาย และจิตใจ

       ถ้าเช่นนั้นมนุษย์จะมีทางออกสำหรับสภาพการณ์ที่เป็นอยู่นี้อย่างไรกัน ในด้านหนึ่ง มนุษย์ควรได้มีการงานที่เหมาะสมที่ทำให้ร่างกายทุกส่วนได้เคลื่อนไหวอย่างสมดุล ซึ่งเป็น เรื่องที่ยากในสังคมสมัยใหม่ หาไม่แล้วมนุษย์ก็ควรมีเวลาสำหรับการออกกำลังกายเพื่อเสริม สร้างสมดุลของร่างกายดังกล่าว ในอีกด้านหนึ่ง มนุษย์ควรสร้างความเข้าใจในวิถึชีวิตของ ตน มองเห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานสามัคดี ยินดีในความร่วมมือช่วยเหลือ มากกว่าการแก่งแย่งแข่งขัน และไม่ผูกชีวิตอยู่กับความสำเร็จใจด้านปัจจัยยังชีพจนเกินสม ควร ในขณะเดียวกันก็ควรฝึกจิตใจให้เข้มแข็งให้มีความมั่นคง พร้อมที่จะเผชิญกับสภาพ การณ์ต่าง ๆ ของชีวิตได้อย่างเหมาะสม

       ในด้านแรกเรารู้จักกันในรูปแบบต่าง ๆ ของการบริหารกาย ไม่ว่าจะเป็นการกีฬาประ เภทต่าง ๆ การวิ่ง มวยจีน หรือการเต้นแอโรบิค และในด้านหลังซึ่งเรารู้จักในนามของ ศาสนธรรม ปรัชญาชีวิต หรือการฝึกสมาธิ มนุษย์ต้องการทั้งสองด้านเพื่อจิตที่สมดุล จะมี ระบบอะไรหรือไม่ที่รวมเอาการบริหารกายและการฝึกฝนจิตใจไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งเมื่อเราปฏิบัติ หรือฝึกฝนแล้วจะได้รับผลดีทั้ง 2 ด้านพร้อม ๆ กัน คำตอบก็คือ "โยคะ" เนื่องจากโยคะเป็นการ บริหารที่ต้องอาศัยการสังเกต และความละเอียดอ่อนรวมทั้งความแน่วแน่มั่นคงของจิตใจพร้อม กันไป โยคะจึงเป็ฯทางออกที่ดีวิถีทางหนึ่งสำหรับสภาพการณ์ปัจจุบันของมนุษย์

เครดิต http://www.geocities.com/pornwipal/why.html

- โยคะ คืออะไร


       โยคะ คือ การบริหารกาย ลมหายใจ และ การผ่อนคลาย (อาสนะ และ ปรารณายาม) โดยเว้นหรือข้ามส่วนที่เป็นการฝึกจิตโดยตรง ขณะเดียวกันยังคงแฝงนัยแห่ง การฝึกจิดโดยอ้อมอยู่อย่างครบถ้วน

       คำว่า อาสนะ มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า อาส ซึ่งหมายถึง มีอยู่ อาศัยอยู่ใน นั่ง เงียบ ๆ อยู่อาศัย พำนัก ตามศัพท์ อาสนะ หมายถึง การนั่งหรือนั่งในท่าใดท่า หนึ่ง ในเรื่องโยคะอาสนะ หมายถึง ท่าและตำแหน่งตางๆ ในการฝึกโยคะ เช่น การยืนด้วยศีรษะ (ศีรษะอาสนะ) ท่าดอกบัว (ปัทมอาสนะ) ฯลฯ

       อาสนะนับเป็นหนึ่งในแปดแขนงของโยคะแบบดั้งเดิม ในตำราโยคะสูตร มีส่วนที่ ว่าด้วยปรัชญาของโยคะ คือ "ปธังชลี" ซึ่งให้คำจำกัดความอาสนะด้วยคำ 2 คำ คือ เสถียร และสุขุม เสถียรหมายถึง ความมั่นคง ความคงที่ ความแน่วแน่ โดยมากจากราศัพท์ว่า สถ ซึ่งหมายถึงการยืน สุขุมหมายถึงการผ่อนคลาย สบาย ความสุขเมื่อจิตของกายอยู่ในสภาวะที่ตรงข้ามกับเสถียรและสุขุม กล่าวคือ อยู่ในสภาวะไม่คงที่จำกัด ร้อนรนและไม่มีสมาธิจะทำให้เรามีแนวโน้มที่จะใช้ชีวิตอย่างยาก ลำบาก ขัดแย้ง เครียด และขาดความสุข การฝึกโยคะช่วยสร้างความคงที่และผ่อนคลายที่สัมผัสได้ ผ่านจิตของกาย อันจะก่อประโยชน์ทั้งด้านสมาธิและชีวิตประจำวันโดยทั่วไป

       การฝึกโยคะนั้นต่างจากการออกกำลังกายแบบอื่นๆ ที่เป็นที่นิยมกัน เช่น แอโรบิค ยกน้ำหนัก หรือวิ่งอย่างสิ้นเชิง จุดประสงค์ของการฝึกอาสนะไม่ใช่การพัฒนาความแข็งแรงของกล้าม เนื้อ หรือความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ (แม้โยคะจะมีประโยชน์เช่นนั้นด้วยก็ตาม) แต่โยคะมีจุด ประสงค์เพื่อฟื้นฟูจิตของกายให้กลับมาสู่สภาวะความเป็นอยู่ที่ดี ผ่อนคลาย และตื่นตัวอยู่เสมอ

       การฝึกโยคะมีผลต่อจิตของกายในทุกๆ ด้าน เช่น ด้านร่างกายโดยผ่อนคลาย รักษา และสร้างความแข็งแรง ยืดเส้นยืดสายระบบกระดูก กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหัวใจ ระบบการย่อยอา หาร ต่อมต่างๆ ในร่างกาย และระบบประสาท ผลทางด้านจิตใจ จะเกิดผ่านการสร้างจิตใจที่สงบ ความตื่นตัวและสมาธิ ผลทางด้านจิตวิญญาณ คือ การเตรียมพร้อม สำหรับการทำสมาธิ และสร้างความแข็งแกร่งจาก "ภายใน"


เครดิต http://www.geocities.com/pornwipal/what.html

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

- Soy peptide

























       หลังจากที่ได้เห็นโฆษณาชิ้นหนึ่ง ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมก็รีบเข้าไปหาข้อมูลของเจ้า soy peptide ทันที พอจะสรุปมาเล่าให้ทุกท่านฟังดังนี้

Soy peptide แปลตามตัวว่า peptide ที่ได้มาจากถั่วเหลือง มีจุดเด่นที่ถั่วเหลืองนั้น มี peptide หรือ amino acid ที่จำเป็นต่อคนอยู่หลายชนิด

ตัว peptide ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของโปรทีน มีความสำคัญต่อกระบวนการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแง่ต่างๆมากมาย (ลองนึกถึงวิชาสปช.หรือวิทยาศาสตร์สมัยเด็กๆ) ส่วนหนึ่งที่โฆษณาชุดนี้พยายามจะเอามาเน้นประโยชน์คือ ในแง่ของการทำงานของสมอง เพราะสารสื่อในสมองหลายๆตัว ก็เป็นโปรทีน ซึ่งการสร้างสารสื่อที่เป็นโปรทีนนี้ ก็ต้องสร้างจาก peptide นั่นเอง หากสมองใช้สารสื่อเหล่านี้หมดไป ก็จะต้องสร้างใหม่ จาก peptide ในกระแสเลือด

นอกจากนี้ในโฆษณา (รวมทั้งในเวปที่เขาอ้างถึง) ยังบอกอีกว่า soy peptide มีผลต่อการเกิดคลื่นสมองชนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่า คลื่น Alpha ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นในด้านต่างๆ เช่น การเรียนรู้ ความจำ ลดความเครียด ฯลฯ โดยมีผลการทดลองมาสนับสนุน 2 ชิ้นคือ "A brain science-based study of the effects of soy protein and peptide on human learning, memory and emotion" และ "Effects of soy peptide ingestion on brain waves"

ฟังดูแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอาหารวิเศษ ที่ช่วยให้คนเรามีการพัฒนาทางสมองได้ดีขึ้น

แต่ พอลองเข้าไปอ่านในเวปของเขาแล้ว (โชคดีมากที่เขายอมเอาเอกสารทางวิชาการมาอ้างอิงด้วย) เรามาดูกันครับว่ามันน่าเชื่อถือขนาดไหน

1. Soy peptide มี amino acid ที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด

ใช่ครับ ข้อนี้จริง และก็จริงพอๆกับการที่เรากินอาหารตามปกติ ที่มีเนื้อ/โปรทีนเป็นส่วนประกอบ

ดังนั้น คุณไม่จำเป็นต้องไปกิน soy peptide คุณก็สามารถได้รับ amino acid ครบทุกชนิดเหมือนกัน หรือหากจะอยากกินจริงๆ ก็ไปกินพวกน้ำเต้าหู้ หรือนมถั่วเหลือง ก็ไม่มีความแตกต่างจาก soy peptide ที่ว่า

2. Soy peptide ช่วยให้สมองสร้างสารสื่อได้

ข้อนี้ก็จริงอีกเช่นกัน และก็เหมือนกับข้อ 1. อีกเช่นกันคือ คุณสามารถได้รับ peptide จากอาหารอื่นๆอีกมากมาย

นอกจากนี้ ในโฆษณา ยังพยายามจะแฝงความนัยว่า กินแล้วสมองจะสร้างสารสื่อได้มากขึ้น ซึ่งตรงนี้ไม่จริงครับ เพราะการสร้างสารสื่อนั้น ถูกควบคุมโดย DNA ของแต่ละคน ซึ่งการสร้างนี้จะมีขึ้นตามความจำเป็นของร่างกาย ไม่ได้ขึ้นกับว่า มี peptide ในกระแสเลือดมากขึ้น แล้วสมองจะสร้างสารสื่อมากขึ้น

3. Alpha wave ทำให้เรียนรู้ดีขึ้น ความจำดีขึ้น ฯลฯ

จริงครับ ที่เมื่อร่างกายอยู๋ในสภาวะบางอย่าง เช่น ช่วงที่มีสมาธิ หรือพร้อมจะเรียนรู้ สมองจะมีคลื่นนี้มากขึ้น แต่ยังไม่เคยมีการพิสูจน์ได้จริงครับ ว่าเมื่อมีคลื่นนี้มากขึ้นแล้ว จะทำให้เรียนรู้ดีขึ้นหรือความจำดีขึ้นแต่อย่างใด

นอกจากนี้ หากคุณอยากให้มีคลื่นนี้มากขึ้น เพียงแค่นั่งสงบๆ แล้วหลับตา สมองก็จะมีคลื่นนี้มากขึ้นแล้ว

4. งานวิจัยที่เวปนำมากล่าวอ้าง4.1 A brain science-based study of the effects of soy protein and peptide on human learning, memory and emotion

งานวิจัยนี้ ศึกษาถึงผลของ soy peptide ที่มีต่อการเรียนรู้ และความจำ ในคน โดยเปรียบเทียบระหว่างเครื่องดื่มที่มี soy peptide กับ placebo

ผลออกมาปรากฏว่า กลุ่มที่ได้รับ soy peptide มีแนวโน้มที่จะมีความจำ การเรียนรู้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กิน

แต่ขอโทษครับ การทดลองนี้ทำในคนเพียง 10 คนเท่านั้น หากแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามที่ว่า นั่นคือ มีเพียง 5 คนเท่านั้น ที่มีผลการทดลองแบบนี้

4.2 Effects of soy peptide ingestion on brain waves

การทดลองนี้ ศึกษาถึงผลของ soy peptide ที่มีต่อ Alpha wave ที่อ้างถึง โดยเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ได้รับ Soy peptide 8 กรัม, 4 กรัม และกลุ่มที่ได้ placebo

ผลการศึกษาก็ออกมาดี โดยกลุ่มที่ได้รับ Soy peptide สามารถวัดคลื่น alpha ได้มากกว่ากลุ่มที่ได้รับ placebo

แต่...เช่นเดียวกันกับการทดลองที่แล้วครับ การทดลองนี้ทำในคนแค่ 9 คน หากแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ก็จะได้เพียงกลุ่มละ 3 คนเท่านั้น

ทั้ง 2 การทดลองนี้ มีจุดบอดอยู่ตรงที่ว่า จำนวนผู้ทดลองน้อยมากๆ จนแทบจะไม่สามารถแยกความแตกต่างได้จริงว่า ไอ้ผลที่มันเกิดขึ้นนั้น เป็นผลมาจาก soy protein จริงหรือไม่

นอกจากนี้ ผลการทดลองทั้ง 2 นี้ ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ ในวารสารวิทยาศาสตร์ที่ไหนเลย (ใครมันจะบ้าไปลงให้) ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบถึงรายละเอียดต่างๆในการทดลองนี้ ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร (ใครที่สามารถหารายงานนี้ได้ช่วยส่งให้ผมด้วย)

สรุปแล้ว soy peptide ก็ไม่ได้มีความวิเศษไปมากกว่าการกินเนื้อ หรืออาหารที่มีโปรทีนอื่นๆ อีกมากมาย ที่มีราคาถูกกว่า และอาจจะอร่อยกว่าที่ขายกันด้วย


เครดิต http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=marquez&group=8

- อาหารบำรุงสมอง





















       ตั้งแต่อดีตกาล มีการค้นคว้าหาอาหารที่จะกินแล้วทำให้สมองมีการทำงานได้มากขึ้น พูดง่ายๆว่ากินแล้วให้เรียนเก่ง หรือจำได้มากขึ้นนั่นเอง

มีการค้นคว้ามากมายถึงอาหาร/สารอาหารหลายๆตัวในเรื่องนี้ เราจะมาดูกันว่า มันมีผลตามที่คุณคิดไว้หรือไม่

1. ซุบไก่สกัด
       หลายๆคนคงเคยเห็น โฆษณาที่มีเด็ก มากินแล้วดูเหมือนเด็กจะฉลาดขึ้น ก็ต้องบอกได้เลยครับว่ามันเป็นแค่โฆษณาเท่านั้น


       สารอาหารในซุบไก่สกัดนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงโปรทีนที่ย่อย/หมักมาแล้ว มันอาจจะมีประโยชน์บ้างในคนที่ระบบการย่อยอาหารไม่ปกติดี แต่ในคนปกติแล้ว การกินซุบไก่สกัด ไม่ส่งผลประโยชน์อันใดครับ

เมื่อช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาอ้างว่า การกินซุบไก่สกัด จะทำให้เกิดคลื่นในสมองชนิดหนึ่งมากขึ้น ซึ่งเจ้าคลื่นที่ว่านี้ ปกติเราจะเกิดเมื่อเรามีสมาธิ เขาเลยอ้างว่าการกินซุบไก่สกัดจะทำให้มีสมาธิมากขึ้น

แต่นั่นไม่ได้เกี่ยวกันเลยครับ การมีสมาธิมากทำให้เกิดคลื่นนี้ได้จริง แต่ยังไม่มีใครที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการมีคลื่นนี้มากแล้วจะทำให้มีสมาธิมากขึ้นครับ และการมีสมาธิมากขึ้น ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องฉลาดมากขึ้นด้วย เช่น เด็กบางคนอาจจะมีสมาธิสูงมากกับการเล่นเกมส์ ผู้ชายบางคนมีสมาธิมากเวลาดูประกวดนางงาม

2. วิทามินบีวิทามินบี เป็นส่วนช่วยในการทำงานของสมอง เช่น วิทามินบี12 ช่วยให้เซลประสาทแข็งแรง, วิทามินบี6 ช่วยสร้างสารสื่อประสาท

ซึ่งแน่นอนทั้ง 2 อย่าง ไม่ได้มีผลช่วยให้เราฉลาดขึ้นแต่อย่างใดครับ

3. วิทามินรวมกรณีนี้ก็คล้ายๆกับของวิทามินบีครับ

สิ่งที่วิทามินรวมช่วยได้มีเพียงกรณีเดียวคือ การกินอาหารที่ไม่ครบหมู่ตามที่ร่างกายต้องการเท่านั้น อาการอย่างอื่น เช่น เหนื่อย อ่อนเพลีย ฯลฯ วิทามินไม่มีส่วนช่วยแต่อย่างไร

4. เลซิธินเลซิธิน เป็นส่วนประกอบสำคัญในสมอง เชื่อกันว่าการกินแล้วจะไปช่วยเสริมสร้างสมองเราได้

แต่จากการทดลองแล้ว ไม่พบว่ามันมีส่วนช่วยแต่อย่างใด(ไม่งั้นคนที่กินสมองบ่อยๆ ก็จะเก่งมากๆสิ) ถึงแม้เลซิธินอาจจะมีประโยชน์ในเรื่องหัวใจและหลอดเลือด แต่ไม่ได้มีประโยชน์ในเรื่องความจำและสมองแต่อย่างใดครับ

5. แปะก้วย/กิงโกะ
       ตัวนี้เป็นเพียงตัวเดียวในทั้งหมดที่มีความน่าเชื่อถือว่าจะใช้ได้จริงๆครับ


แต่มีข้อแม้ว่า คุณจะต้องเป็นโรค Alzeimer's เท่านั้น และการใช้แปะก้วย ก็จะช่วยแค่ไม่ให้ความจำแย่ลงเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้มีความจำดีขึ้น

นอกจากนี้ การใช้แปะก้วยที่จะให้ได้ผลเรื่องนี้ ต้องใช้สารสกัดจากใบครับ คนที่กินเม็ดแปะก้วย จะไม่ได้ประโยชน์อะไรในเรื่องนี้เลย

6. น้ำมันปลา + Omega-3
       ในการสร้างเซลสมอง ร่างกายจำเป้นที่จะต้องใช้ไขมัน 2 ชนิดคือ Omega-3 และ DHA ซึ่งเราพบมากในน้ำมันปลา (และในอาหารอื่นๆอีกหลายชนิด) แล้วเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของ DHA เพื่อสร้างเซลสมองต่อไป


ซึ่งกระบวนการสร้างเซลสมองนี้ เกิดขึ้นในช่วงเด็กทารกจนถึงอายุประมาณ 5 ขวบ ดังนั้นคนที่อายุมากกว่านี้ กินไปก็ไม่ได้ช่วยพัฒนาสมองได้ (อาจจะได้ประโยชน์ในเรื่องของช่วยลดอาการไขมันในเลือดสูง)

       ถึงแม้ว่าในอาหารเด็กหลายยี่ห้อ จะมีการผสมน้ำมันปลาลงไปด้วยเพื่อช่วยในจุดนี้ แต่จากการศึกษาแล้วพบว่าน้ำมันปลามีส่วนช่วยเรื่องความจำได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ไม่ได้ช่วยก่อให้เกิดเด็กที่ฉลาดกว่าปกติแต่อย่างใด และยังเคยมีคนออกมาเตือนว่า ไม่ควรให้เด็กกินน้ำมันปลา เพราะอาจจะได้รับสารพิษตกค้างที่มากับปลาในปริมาณสูง (ในผู้ใหญ่จะสามารถกำจัดสารพิษออกไปได้ดีกว่าในเด็ก)

สรุป
       ในปัจจุบัน ยังไม่พบว่ามีอาหาร/สารอาหารตัวไหนที่มีฤทธิ์ช่วยให้คนเรามีความจำได้มากขึ้น หรือทำให้เก่งขึ้น ฉลาดขึ้น


กระบวนการที่จำทำให้คนเราเก่งขึ้นหรือฉลาดขึ้นนั้น ต้องทำโดยการฝึกครับ ไม่ใช่ด้วยการกิน

ซึ่งวิธีการฝึกนั้น ก้มีหลากหลายวิธีที่จะช่วยให้ฉลาดขึ้นได้ ก็เลือกเอาวิธีที่คุณคิดว่าเหมาะกับตัวคุณได้มากที่สุดก็แล้วกันครับ

และที่แน่ๆ ที่คุณคิดว่า จ่ายเงินซื้อของพวกนี้มากินแล้ว คุณจะฉลาดขึ้น แต่ขอให้รู้ไว้ว่าจริงๆแล้วคุณกำลังโง่ลงอย่างแน่นอนครับ

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551

- อัจฉริยะสร้างได้ วิธีฝึกสมอง
















       "สมองของคนเรามีเซลล์สมองเท่ากับไอน์สไตน์ ดังนน ไอน์สไตน์ฉลาดได้เท่าไหน โดยทฤษฎีแล้วเราก็ฉลาดได้เท่านั้น

"ข้อความส่วนหนึ่งในหนังสือที่ชื่อว่า "อัจฉริยะสร้างได้" ที่เขียนโดย "วนิษา เรซ" คนไทยเพียงคนเดียวที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทเกียรตินิยมด้านวิทยาการทางสมอง จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอัจฉริยภาพ

       พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของคำ "อัจฉริยภาพ" ว่า ความเป็นผู้มีปัญญาความสามารถเกินกว่าระดับปกติมาก
เป็นเหตุให้ใครหลายๆ คนคิดว่าการจะเป็นอัจฉริยภาพนั้นยากเกินกำลัง แต่ วนิษาบอกว่า คนทุกคนมีความเป็นอัจฉริยภาพอยู่ในตัวอย่างน้อย 8 ด้าน เพียงแค่ว่าจะหาเจอช้าหรือเร็วเท่านั้น

       วนิษาเล่าให้ฟังว่า ในอดีตก่อนที่งานวิจัยทางสมองจะก้าวหน้าเหมือนในปัจจุบัน คนมักมีความเชื่อว่า ความฉลาดเป็นสิ่งที่เรามีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ใครเกิดมาด้วยไอคิวเท่าไร ก็จะจากโลกนี้ไปด้วยไอคิวเท่านั้น ระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงใดๆ

       เมื่อเวลาผ่านไปนักวิจัยได้วิจัยสมองด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย พบว่าสมองของคนเรามีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน แม้ในผู้สูงอายุยังมีการเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้สิ่งใหม่ และมีการสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ อยู่เสมอ ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าความฉลาดเป็นสิ่งตายตัวจึงกลายเป็นความคิดที่ล้าหลัง

       จากนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพหลายท่าน ก็ได้คิดค้นทฤษฎีและวิธีการต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพสมอง และพัฒนาอัจฉริยภาพสำหรับบุคคล

       วนิษาเล่าย้อนให้ฟังถึงสาเหตุที่เลือกเรียนปริญญาโทด้านสมองว่า เริ่มจากเมื่อตอนที่เรียนปริญญาตรี เลือกเรียนด้านการศึกษาและครอบครัว เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทุกคนในโลกนี้ เรียนแล้วพบว่ามันสามารถใช้ได้จริงกับทุกคน พอจะต่อปริญญาโทจึงตั้งโจทย์ให้กับตัวเองว่า จะต้องเกี่ยวกับทุกคนในโลก และเกี่ยวข้องกับด้านการพัฒนาคน

       สิ่งที่ตั้งโจทย์นำไปสู่คำว่า "สมอง" เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากสมอง และสมองเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคน

       ที่สำคัญเธออยากรู้ว่าคนเราต้องทำอย่างไรถึงจะฉลาด เป็นอัจฉริยะได้โดยที่ยังสามารถใช้ชีวิตได้แบบเดินทางสายกลางอย่างมีความสุข ไม่ต้องเรียนแบบหักโหม

       พอศึกษาไปก็เจอ "ทฤษฎีพหุปัญญา" ของ ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ทฤษฎีที่สอนด้านสมอง ที่ไม่ใช่การผ่าตัด แต่เป็นการเรียนรู้ว่า สมองคืออะไร สมองทำงานอย่างไร และรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรถึงจะใช้สมองได้อย่างคุ้มค่าและมีศักยภาพที่สุด

       ซึ่งทั่วโลกมีเพียงที่มหาวิทยาลัยฮาร์ดวาร์ดแห่งเดียวที่สอนด้านสมองทฤษฎีพหุปัญญา เป็นทฤษฎีที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงและยอมรับกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน โดยทฤษฎีนี้ค้านกับความเชื่อเดิมที่บอกว่า อัจฉริยภาพมีเพียงด้านคณิตศาสตร์และภาษาเท่านั้น แต่ยืนยันว่า...

       "อัจฉริยภาพของคนเรามีอย่างน้อย 8 ด้าน ประกอบด้วย ด้านภาษาและการสื่อสาร, ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว, ด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ, ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์, ด้านการเข้าใจตนเอง, ด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น, ด้านการเข้าใจธรรมชาติ และด้านดนตรีและจังหวะ"


ถึงตอนนี้หลายคนคงสงสัยกันแล้วว่า อัจฉริยภาพสร้างได้จริงหรือ? และสามารถสร้างได้

       วนิษา บอกว่า คนเราสามารถสร้างความเป็นอัจฉริยภาพในตัวเองได้ เพราะความเป็นอัจฉริยภาพนั้นเกิดจากการมีเส้นใยสมอง ซึ่งสมองมีการสร้างเส้นใยสมองอยู่ตลอดเวลา และบวกกับการที่คนเรามีความสามารถในการรับรู้และเรียนรู้เพิ่มเติมได้

       การพัฒนาความเป็นอัจฉริยภาพของเรานั้นอันดับแรกต้องดูว่าเราชอบอะไร ต้องการเป็นอัจฉริยะด้านไหน และต้นทุนในการพัฒนาสูงแค่ไหน แต่ความเป็นอัจฉริยะจะต้องเกิดจากการฝึกฝนด้วย ถ้าไม่ฝึกไม่ลองทำก็ไม่รู้ว่าเรามีอัจฉริยภาพด้านนั้นๆ อยู่ในตัว เพราะฉะนั้น เราควรที่จะหาเวลาและพื้นที่ว่างในการทดสอบและฝึกฝนตัวเองให้เป็นอัจฉริยะ

       "นั่นคือ ในการค้นหาอัจฉริยภาพในตัวเองนั้นจะต้องมีการทดลองทำ และฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ โดยเริ่มจากสิ่งง่ายๆ ที่อยู่รอบตัวเราก่อน"




















       ส่วนคนที่มักบอกว่าหาตัวเองไม่เจอนั้น วนิษาบอกว่า คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีเวลาให้ตัวเอง ไม่เคยหยุดคิดและฟังตัวเองว่าต้องการอะไร ชอบอะไร ซึ่งการสำรวจตัวเองตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง ที่หมายถึงการกำหนดว่าจะเอาพลังที่เรามีอยู่ไปใช้ได้อย่างไรบ้าง และหากมีอัจฉริยภาพด้านนี้แล้วความเป็นอัจฉริยภาพด้านอื่นๆ ก็จะตามมาในไม่ช้า

       อย่างลีโอนาร์โด ดาร์วินชี่ เป็นทั้งนักศิลปะและนักวิทยาศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงในเวลาเดียวกัน เขามีความสามารถและพรสวรรค์ทั้งสองอย่างในตัวเอง และสามารถทำทั้งสองอย่างนี้ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งคนอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน และขณะเดียวกันก็ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งอื่นๆ ที่แตกต่างด้วย

       วนิษา บอกว่า จากการที่เธอได้ทำการศึกษาเรื่องสมองอย่างจริงจังทำให้พบว่า คนในปัจจุบันขาดการดูแลสมองเป็นอย่างมาก ไม่สนใจและไม่บำรุงสมองเลย ที่สำคัญคนเราคิดว่าการดูแลสมองเป็นเรื่องใหญ่ จะต้องไปหาหมออย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วการดูแลสมองนั้นไม่ยากเลยทำได้ง่ายๆ เพียงแค่การกินอาหารที่เป็นประโยชน์ เช่น พืชผัก ข้าวซ้อมมือ การดื่มน้ำมากๆ การออกกำลังกายเบาๆ เป็นประจำ หรือแม้กระทั่งการพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งการฝึกกระบวนการคิดที่เป็นระบบ เหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการดูแลสมองอย่างง่ายๆ

       เรื่องการฝึกสมองให้เป็นระบบ ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการฝึกด้านไหน ซึ่งฝึกได้หลายชนิดมาก เพราะทุกอย่างที่เราทำจะเกี่ยวข้องกับสมองหมดเลย จึงไม่มีสูตรสำเร็จว่าจะฝึกสมองอย่างไรสมองถึงจะดี


       คนเรามีความถนัดแตกต่างกัน สมองก็แตกต่างกันด้วย เช่น สมองของนักบัญชีก็ไม่เหมือนสมองของนักจัดสวน เนื่องจากสมองเป็นตัวรับรู้ เป็นตัวประมวลผล และสั่งให้เราทำ

       ที่สำคัญสมองเป็นอวัยวะที่ยืดหยุ่นมากแล้วแต่ว่าเราจะทำอะไรกับสมอง เช่นการรู้จักจัดการสมองตนเองเมื่อเกิดความเครียด

       "สมองของคนเราเมื่อมีความเครียดจะหลั่งสารคอร์ดิซอร์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้สมองไม่มีการคิด ทำให้คิดไม่ออก เป็นผลให้ข้อมูลต่างๆ ออกมาไม่ได้ เป็นสารเคมีเป็นพิษต่อสมอง แต่สารนี้จะสามารถสลายไปเมื่อมีสารเอ็นดอร์ฟิน เพราะสารเอ็นดอร์ฟินนี้เป็นสารที่มีความสุข เมื่อเราทำสิ่งที่ชอบจะมีการหลั่งสารนี้ออกมา ซึ่งจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ขณะเดียวกันความเครียดนั้นก็มีข้อดีอยู่บ้าง ถ้ามีความเครียดในระดับที่เหมาะสมจะสามารถบังคับตนเองให้ทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งได้สำเร็จ" วนิษาสรุป

       ฉะนั้น ยิ่งค้นพบความเป็นอัจฉริยะเร็วเท่าไหร่ จะยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเราเท่านั้น เพราะแม้จะมีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่หากขาดการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องความเป็นอัจฉริยภาพก็มิอาจเปล่งประกายออกสู่สายตาผู้อื่นได้


โดย เยาวลักษณ์ โบราณมู


- 9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์


       โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ดผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอา หารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้

1. จิบน้ำบ่อย ๆ
       สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ


2. กินไขมันดี
       คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น


3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
       หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน


4. ใส่ความตั้งใจ
       การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน


5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
       ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ


6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
       สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์


7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
       ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง


8. เขียนบันทึก Graceful Journal
       ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์


9. ฝึกหายใจลึก ๆ
       สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

- อยากมีฟันขาว




วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีทำให้ฟันขาวมาแนะนำกัน....
       วิธีแรก คือ แปรงฟันให้สะอาดอย่างทั่วถึงหลังอาหารทุกมื้อร่วมกับการไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อขูดหินปูนและขัดฟัน ซึ่งการขัดฟันจะไม่ทำให้ฟันบางลง แต่ถ้าเกิดการมีฟันผุก็จัดการให้เรียบร้อย สำหรับฟันหน้าทันตแพทย์จะกรอส่วนที่ผุ มีสีดำ หรือสีเหลืองออก แล้วอุดด้วยวัสดุที่มีสีเหมือนฟัน เท่านี้ ฟันก็จะมีสีขาวสะอาดได้เหมือนปกติ

       การฟอกสีฟัน คือ การฟอกสีฟันทั้งปาก ได้รับความนิยมจากคนทั่วไป และมีการวิวัฒนาการของยาที่ฟอกสีฟัน ทำให้ใช้ได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การฟอกสีฟันทั้งปาก ทำได้ 2 วิธี
       วิธีแรก คือ จะต้องทำในคลินิก โดยทันตแพทย์จะเป็นผู้ทำ โดยใช้สารฟอกสี ซึ่งส่วนใหญ่ คือ สารประเภท Peroxide ที่มีความเข้มข้น 30-35 % ระยะเวลาในการทำแต่ละครั้ง คือประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมง
       วิธีที่สอง คือ นำสารฟอกสีกลับไปทำเองได้ที่บ้าน โดยทันตแพทย์จะเตรียมอุปกรณ์ให้ แต่ต้องกลับมาตรวจเป็นระยะตามที่ทันตแพทย์นัด สารฟอกสีที่ใช้ก็จะเป็นประเภทเดียวกับที่ทำในคลีนิค แต่จะมีความเข้มข้นน้อยกว่า คือ ประมาณ 2-10% เพื่อความปลอดภัย วิธีฟอกก็ไม่ยาก เพียงแค่บีบสารฟอกสีลงในถาดฟันยางที่ทันตแพทย์ทำเฉพาะไว้สำหรับแต่ละคน จำนวนน้ำยาที่ใส่ลงในถาดก็ประมาณเพียง 1 ใน 3 ของถาด แล้วสวมฟันยางไว้ วันละ 1-2 ชม.
       ใครที่อยากให้ฟันขาวสะอาดก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติดูกันได้



ข้อมูลจาก เดลินิวส์

- บำรุงผิวพรรณ




       การรับประทานอาหารที่ดีย่อมมีผลทำให้ผิวพรรณดีด้วย เพราะร่างกายของนอกจะมีองค์ประกอบที่ดีแล้ว แต่ยังต้องการสิ่งที่มาช่วยเสริมนั่นก็คืออาหาร และไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหนเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วต่างก็มีทั้งประโยชน์และมีโทษต่อร่างกายได้เหมือนกัน

       หากเราเลือกที่จะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยให้สุขภาพและผิวพรรณของเราดีไปด้วย จึงอยากจะแนะนำอาหารที่รับประทานเข้าไปแล้วทำให้ผิวพรรณผ่องใสดูมีน้ำมีนวลขึ้น

       เนื้อปลา เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้าน อนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชราและความเสื่อมของร่างกาย

       น้ำมันมะกอก น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงก็จริง แต่มีข้อดีคือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง และเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

       เมล็ดข้าวและธัญพืช ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ด ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ งา นอกจากจะมีวิตามินบีสูงแล้ว ยังมีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งจะช่วยสร้างและรักษาความแข็งแรงของเซลล์ มีงานวิจัยระบุว่าวิตามินอี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยปกป้องความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะให้แก่ผิว

       ผลไม้และผักสด ผักสด มีวิตามินเอ ช่วยทำให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ และยังมีวิตามินซีซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเส้นใย คอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผิวพรรณของใบหน้าดูเต่งตึง มีความยืดหยุ่น ผักสดและผลไม้ จึงควรเป็นอาหารที่คุณควรบรรจุไว้ในเมนู อาหารทุกมื้อของคุณ ผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ส้ม มะนาว มะเขือเทศสับปะรด ฝรั่ง ส่วนผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอมาก ได้แก่ กล้วย มะละกอ ฟักทอง แครอท

       น้ำเปล่า น้ำทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับทุกระบบภายในร่างกาย และหากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ6-8 แก้วโต ๆ เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และยังป้องกันผิวหย่อนยานจากการลดน้ำหนักอย่างดีอีกด้วย


       หากต้องการให้ได้ผิวพรรณที่ผ่องใสดูมีน้ำมีนวล ก็อย่าลืมเลือกรับประทานอาหารเหล่านี้ดู รับรองได้ว่าไม่ผิดหลังจริงๆ

- อาหารบำรุงตา



อาหารบำรุงตา

       ดวงตาที่มีประกายสดใสสามารถดึงดูดใจแก่ผู้พบเห็น คงไม่มีใครอยากให้ดวงตาเศร้าหมองหรือขอบตาคลํ้าเป็นแน่ เพราะฉะนั้นอาหารจำพวกวิตามินเอนี่แหละที่จะช่วยสร้างเสน่ห์ให้แก่ดวงตาของเราได้ เช่น

       ผักบุ้ง ผักตำลึง ผักขม ผักใบเขียวต่างๆ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่แดง มะม่วงสุก ฟักทอง กล้วย มะเขือเทศ พริกหยวก เป็นต้น



วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

- อาหารบำรุงเส้นผม



       เส้นผมไม่เพียงช่วยให้เรามีรูปลักษณ์ที่ดี แต่คุณสมบัติที่สำคัญคือช่วยป้องกันหนังศีรษะของคนเราพ้นจากอันตรายจากแสงแดด ปัจจุบันเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าแสงแดดนั้นเป็นอันตรายต่อผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น และเกิดโรคมะเร็งของผิวหนังได้ง่าย แต่คุณทราบหรือไม่ว่าอาหารที่เรากินอยู่ทุกวันมีผลสะท้อนต่อผมได้เช่นเดียวกับผิวหนังเหมือนกัน

       เพราะผมมีสารประกอบของสารอาหารบางอย่าง จึงขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะให้สารอาหารแก่ผมอย่างไร
เส้นผมได้รับอาหารจากเลือดไปบำรุง ถ้าเลือดนั้นมีสารอาหารที่สำคัญสำหรับเส้นผม ผมก็จะเจริญงอกงาม รากผมก็จะยึดศีรษะแน่น จะร่วงก็ต่อเมื่อถึงคราวต้องร่วง และสามารงอกได้ทันกัน นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นนักโภชนาการได้เคยทำการทดลองค้นคว้าเรื่อง อาหารบำรุงผม โดยได้ทำการทดลองกับสัตว์เลี้ยงสองกลุ่มคือ กลุ่มหนึ่งให้กินอาหารที่มีแร่ธาตุไอโอดีนคืออาหารทะเล ผักและผลไม้ ส่วนกลุ่มที่สองให้กินอาหารที่มีแต่แป้งและเนื้อสัตว์ ซึ่งจะได้คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนเท่านั้น ปรากฏว่าสัตว์ทดลองกลุ่มที่หนึ่งมีขนดกดำสวยเป็นเงา ส่วนกลุ่มที่สองร่างกายอ้วนแข็งแรง แต่ขนสั้น ทั้ง ๆ ที่มีพ่อแม่เดียวกัน

       อาหารที่มีสารไอโอดีนมากและหาง่ายในบ้านเราได้แก่ อาหารทะเลต่าง ๆ เช่น ปลา กุ้ง และอาหารที่ปรุงด้วยเกลือเสริมไอโอดีน

       อาหารที่มีธาตุซิลิคอนคือ ข้าวที่ไม่ได้ขัดสี ข้าวกล้อง ข้าวแดง รองลงมาได้แก่ แตงกวา สตรอเบอรี่ หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี ผักกาดหอม ผักโขม

       ส่วนอาหารที่มีธาตุกำมะถันได้แก่ กะหล่ำปลี หัวผักกาดขาว หัวหอมใหญ่ หัวหอมแดง กะหล่ำดอก ผักกาดแดง แอปเปิ้ล ผักเหล่านี้หาได้ไม่ยาก และสามารถกินได้ทั้งสดและหุงต้ม

       ส่วนสาเหตุของผมร่วงนั้นมีหลายอย่าง การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาตามธรรมชาติของหญิงหลังคลอดบุตร หลังเป็นไข้ไทฟอยด์ การขาดอาหาร การใช้ยารักษาโรคมะเร็ง เชื้อรา เชื้อซิฟิลิส หรือเกิดจากความผิดปกติของเส้นผมเอง เช่น มีรอยหักกลาง และแม้แต่ความเครียดและการตกใจอย่างรุนแรง ก็อาจทำให้ผมร่วงได้ ในกรณีที่มีปัญหาเรื่องผม ควรพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำอย่างถูกต้อง ไม่ควรหาซื้อยามาใช้เอง

       การปฏิบัติตนอย่างง่าย ๆ คือ ควรใช้หวีหรือแปรงที่ไม่แหลมคม ไม่ควรแปรงผมย้อนหลัง หรือยีผมแรง ๆ อย่ารัดผมหรือถักเปียจนแน่นเกินไป ควรใช้แชมพูอ่อน ๆ และบำรุงด้วยครีมนวดผม หรือปรับสภาพเส้นผม หากต้องการใช้สารเคมี เช่น ยาย้อมผม ยากัดสีผม ก็ควรใช้เมื่อจำเป็นและไม่ควรใช้บ่อยนัก

       เส้นผมจะดูสวยเป็นเงางามได้ก็ต่อเมื่อได้รับการดูแลบำรุงรักษาทุกวัน รวมไปถึงการกินอาหารที่ดี ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และพยายามทำจิตใจให้แจ่มใสร่าเริง เพื่อช่วยลดความเครียด

- สารอาหาร



สารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน ่มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ซึ่งร่างกายต้องการในปริมาณน้อยแต่ขาดไม่ได้ ได้แก่ วิตามิน แร่ธาตุ และน้ำ

1. วิตามิน
วิตามินมีบทบาทสำคัญในกระบวนการทางเคมีของร่างกาย , ช่วยในการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ เป็นต้นกำเนิด ของ เอนไซม์ต่าง ๆ ในร่างกาย วิตามินแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1.1 วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามิน B และวิตามิน C
1.2 วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามิน A,D,E และวิตามิน K

2. แร่ธาตุ
3. น้ำ

วิตามิน
1. วิตามิน เป็นสารอินทรีย์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิต ช่วยควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกายโดยเป็นตัวช่วยในการทำงานของเอนไซม์ ทำให้เซลล์ทำหน้าที่ได้ตามปกติ
เช่น วิตามินซีจากผักและผลไม้ เป็นต้น

วิตามินจำแนกตามลักษณะของการละลายได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

1.1 วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบีและวิตามินซี
1.2 วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค

แสดงแหล่งอาหาร ประโยชน์ และอาการเมื่อขาดวิตามิน

วิตามิน

1.ละลายในไขมัน

1.1 วิตามิน A(retinol)

แหล่งอาหาร
นม เนย ไข่แดง ตับ น้ำมันตับปลา ผัก และผลไม้

ประโยชน์
บำรุงสายตา บำรุงผิวหนัง

อาการเมื่อขาดวิตามิน
- ไม่สามารถมองเห็นในที่สลัว
- ตาดำอักเสบ
- ผิวหนังแห้งหยาบ

1.2 วิตามิน D(calciferol)

แหล่งอาหาร
น้ำมันตับปลา ไข่ ตับ นม เนย

ประโยชน์
ร่างกายสร้างเองได้จากคอเลสเทอรอลใต้ผิวหนังเมื่อได้รับแสงแดด ช่วยดูดซับแคลเซียม
และฟอสฟอรัสที่ลำไส้เล็ก

อาการเมื่อขาดวิตามิน
- โรคกระดูกอ่อน ฟันผุในเด็ก
- ในผู้ใหญ่กระดูกจะผิดรูปร่างไม่แข็งแรง

1.3 วิตามิน E(a-tocopherol)

แหล่งอาหาร
ผักสีเขียว ไขมันจากพืช เมล็ดพืช

ประโยชน์
เม็ดเลือดแดงแข็งแรง สลายโมเลกุลของกรดไขมัน ช่วยสร้างเอนไซม์

อาการเมื่อขาดวิตามิน
- เป็นหมัน
- แท้งง่ายในหญิงตั้งครรภ์
- เกิดโรคโลหิตจางในเด็กชายอายุ 6 เดือนถึง 2 ขวบ

1.4 วิตามิน K (a-phylloquinone)

แหล่งอาหาร
ผักและตับ

ประโยชน์
นอกจากนี้วิตามิน ยังสร้างจากแบคทีเรียในลำไส้ ช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการแข็งออก ตัวของเลือด

อาการเมื่อขาดวิตามิน
- เลือดแข็งตัวช้าในเด็กแรกเกิดและทารกอายุ 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือนจะมีอาการเลือดออก ทั่วไปตามผิวหนัง

2.ละลายในน้ำ

2.1 วิตามิน B1(thiamine)

แหล่งอาหาร
ข้าวซ้อมมือ ตับ ไข่ ถั่ว มันเทศ

ประโยชน์
ช่วยบำรุงระบบประสาทและการทำงานของหัวใจ

อาการเมื่อขาดวิตามิน
- โรคเหน็บชา
- ระบบประสาท
- ระบบย่อยอาหารผิดปกติ

2.2 วิตามิน B2 (riboflavin)

แหล่งอาหาร
ไข่ นม ผัก ถั่วเหลือง

ประโยชน์
ทำให้การเจริญเติบโตเป็นปกติ บำรุงผิวหนัง ลิ้น และตา

อาการเมื่อขาดวิตามิน
- โรคปากนกกระจอก
- ตาสู้แสงไม่ได้ ลิ้นอักเสบ
- ผิวหนังแตกแห้ง
- การเจริญเติบโตไม่เต็มที่

2.3 วิตามิน B3 (niacin)

แหล่งอาหาร
เนื้อสัตว์ ตับ ถั่ว ข้าวซ้อมมือ ข้าวสาลี ยีสต์และร่างกายสร้างได้เองจาก
กรดอะมิโนบางชนิด

ประโยชน์
บำรุงประสาท ช่วยในปฏิกิริยาการหายใจ เป็นตัวช่วยในการสร้างพลังงานและการ
สังเคราะห์สาร

อาการเมื่อขาดวิตามิน
- ผิวหนังหยาบแห้งมีสีดำ
- ลิ้นบวม
- ระบบย่อยอาหารและประสาทผิดปกติ

2.4 วิตามิน B6 (pyridoxine)

แหล่งอาหาร
นม ตับ เนื้อ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ข้าวซ้อมมือ

ประโยชน์
บำรุงผิวหนังและประสาท ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร

อาการเมื่อขาดวิตามิน
- ประสาทเสื่อม บวม คันตามผิวหนัง
- การทำงานของกล้ามเนื้อผิกปกติ

2.5 วิตามิน B12(cyanocobalamine)

แหล่งอาหาร
ไข่ เนยแข็ง ตับ สมองเนื้อสัตว์

ประโยชน์
ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ไขกระดูกและการทำงานของระบบประสาท

อาการเมื่อขาดวิตามิน
- โรคโลหิตจาง เม็ดเลือดมีรูปร่างผิดปกติและมีฮีโมโกบินน้อย
- เส้นประสาทไขสันหลังเสื่อม
- เจ็บลิ้นและปาก

2.6 วิตามิน C (ascorbic acid)

แหล่งอาหาร
ส้ม มะขามป้อม ฝรั่ง มะนาว มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ผักสีเขียว

ประโยชน์
ทำให้ผนังเส้นเลือดเหนียวและแข็งแรง บำรุงฟันและเหงือก

อาการเมื่อขาดวิตามิน
- เลือดออกตามไรฟัน (ลักปิดลักเปิด)
- ผนังเส้นเลือดฝอยเปราะแตกง่าย ภูมิต้านทานลดลง

แร่ธาตุ

2. แร่ธาตุ เป็นสารอาหารอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ให้พลังงาน แต่ร่างกายต้องการและขาดไม่ได้ ประโยชน์ของแร่ธาตุที่มีต่อร่างกายมีดังนี้

- เป็นส่วนประกอบของอวัยวะบางอย่าง เช่น กระดูก ฟัน กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท เป็นต้น
- เป็นส่วนประกอบของสารต่างๆในร่างกาย เช่น เลือด น้ำในเซลล์ เป็นต้น
- ช่วยในการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆให้ทำหน้าที่เป็นปกติ
- ร่างกายของคนมีความต้องการแร่ธาตุต่างๆ หลายชนิดและต้องการในปริมาณที่แตกต่างกัน

แสดงแหล่งอาหาร ประโยชน์ และอาการเมื่อชาดแร่ธาตุ

ุแร่ธาตุแคลเซียม (Ca)

แหล่งอาหาร
ปลาไส้ตัน กุ้งแห้ง เนยแข็ง นมสด ไข่ ผัก

ประโยชน์
- เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน
- ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและการทำงานของกล้ามเนื้อ
- เกี่ยวกับการถ่ายทอดกระแสประสาท

อาการเมื่อขาดแร่ธาตุ
- โรคกระดูกอ่อน (ricket)
- การทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ
- เลือดแข็งตัวยาก

แร่ธาตุฟอสฟอรัส (P)

แหล่งอาหาร
กุ้ง ปลาไส้ตัน ไข่ นมสด ถั่วเหลือง ผักใบเขียว

ประโยชน์
- เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน
- รักษาสมดุลของกรดและเบสในร่างกาย
- ช่วยในการสร้างเซลล์สมองและประสาท

อาการเมื่อขาดแร่ธาตุ
- โรคกระดูกอ่อน
- อ่อนเพลีย

แร่ธาตุโพแทสเซียม (K)

แหล่งอาหาร
เนื้อสัตว์ นม กล้วย ผักใบเขียว ส้ม ถั่ว ข้าว เห็ด ไข่

ประโยชน์
- ควบคุมระดับของเหลวในเซลล์
- การทำงานของกล้ามเนื้อของระบบประสาท
- ช่วยในการผ่าตัดใหญ่

อาการเมื่อขาดแร่ธาตุ
- เลือดไหลไม่หยุด
- การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทผิดปกติ
- เบื่ออาหาร ซึมเซา

แร่ธาตุเหล็ก (Fe )

แหล่งอาหาร
ไข่แดง ผักสีเขียว ตับ เนื้อวัว งาดำ

ประโยชน์
- เป็นส่วนประกอบของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง
- เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์บางชนิด

อาการเมื่อขาดแร่ธาตุ
- โรคโลหิตจาง
- อ่อนเพลีย

แร่ธาตุไอโอดีน (I)

แหล่งอาหาร
เกลือแกง นม ไข่ อาหารทะเล

ประโยชน์
- ป้องกันโรคคอพอก
- ช่วยในการเจริญเติบโต
- เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนไทรอกซินที่ต่อมไทรอยด์

อาการเมื่อขาดแร่ธาตุ
- ถ้าเด็กขาดจะเตี้ย แคะแกร็น สติปัญญาเสื่อม
- ในผู้ใหญ่จะเป็นโรคคอพอกธรรมดา

แร่ธาตุโซเดียม (Na)

แหล่งอาหาร
อาหารทะเล น้ำปลา เกลือแกง ไข่ นม เนย

ประโยชน์
- ช่วยรักษาสมดุลของน้ำและความเป็นกรดในร่างกาย
- ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท

อาการเมื่อขาดแร่ธาต
- เบื่ออาหาร เป็นตะคริว ชัก หมดสติ คลื่นไส้ ความดันต่ำ

แร่ธาตุแมกนีเซียม (Mg)

แหล่งอาหาร
รำข้าว พืชสีเขียว ถั่ว นม งา อาหารทะเล

ประโยชน์
์- ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท
- ควบคุมการสร้างโปรตีน

อาการเมื่อขาดแร่ธาตุ
- เป็นส่วนประกอบของกระดูก และเลือด
- เกิดอาการผิดปกติทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ อาจเกิดอาการชัก

แร่ธาตุกำมะถัน (S)

แหล่งอาหาร

ไข่ เนื้อสัตว์ นม

ประโยชน์
- จำเป็นต่อการสร้างโปรตีนในร่างกาย

แร่ธาตุฟลูออไรด์ (F)

แหล่งอาหาร
น้ำดื่มจากบ่อธรรมชาติบางแห่ง อาหารทะเล

ประโยชน์
- ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก
- เป็นส่วนประกอบของสารเคลือบฟัน ทำให้ฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุ

าการเมื่อขาดแร่ธาตุ
- ฟันผุง่าย

3. น้ำ

น้ำ เป็นสารที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในร่างกายของเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่ 2 ใน 3 ส่วนของน้ำหนักตัว น้ำจึงมีความสำคัญต่อร่างกาย ดังนี้

1. เป็นองค์ประกอบของอวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น เลือด ตับ ไต ลำไส้ หัวใจ เป็นต้น
2. ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
3. ช่วยให้กลไกการเกิดปฏิกิริยาเคมีในร่างกายเป็นไปตามปกติ
4. ช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อและปัสสาวะ

ร่างกายจะได้รับน้ำโดยตรงจากการดื่มน้ำสะอาดและได้จากอาหารที่รับประทานเข้าไป ซึ่งมีปริมาณน้ำเป็นองค์ประกอบในปริมาณที่แตกต่างกัน

- สาเหตุของการขาดสารอาหาร


สาเหตุของการขาดสารอาหาร

       พฤติกรรมการกินอาหารไม่ถูกวิธี การเลือกรับประทานอาหารเฉพาะสิ่งที่ตนเองชอบเท่านั้น อาจทำให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารไม่ครบ นอกจากนี้การหุงต้มอาหารที่ไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้สูญเสีย สารอาหารบางชนิดได้ด้วย อาหารที่นักเรียนชอบรับประทานอาจมีอาหารหลักไม่ครบ 5 หมู่ อาหารต่างชนิดกันอาจมีอาหารหลักต่างกันและอาจมีสารอาหารต่างกันด้วย อาหารที่มีสารอาหารครบทุกชนิด ถ้านักเรียนรับประทานอย่างเดียว จะมีปริมาณสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเพราะสารอาหาร บางชนิดถึงแม้จะมีในอาหารแต่ก็มีในปริมาณน้อยมากไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ดังนั้นการรับประทานอาหารควรรับประทานอาหารหลายๆหมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบและเพียงพอ กับความต้องการของร่างกาย

หุงต้มไม่ถูกวิธีมีผลเสีย
       (1)การหุงข้าวแบบไม่เช็ดน้ำ เป็นวิธีหุงข้าวที่จะช่วยรักษาวิตามินในข้าว ไว้ได้มากที่สุด





















การซาวข้าวจะทำให้สูญเสียวิตามินไปกับน้ำที่ซาว และเมื่อจะหุงข้าวเราควร ซาวข้าวก่อนเพื่อล้างสิ่งสกปรกที่ติดมากับข้าว แต่ไม่ควรซาวหลายครั้ง และไม่ควรขัดถูข้าวแรงๆ เพราะจะทำให้สูญเสียวิตามินมากขึ้น การที่จะทำให้ข้าวสารเป็นข้าวสุกจะทำได้โดยวิธีการหุง ซึ่งการหุงข้าวจะมี 2 วิธีใหญ่ๆคือการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำและหุงข้าวแบบไม่เช็ดน้ำ แต่การหุงข้าวทั้ง 2 วิธีนี้จะช่วยรักษาสิ่งที่มีคุณค่าในอาหารต่างกัน การหุงข้าวแบบเช็ดน้ำนั้นจะต้องสูญเสียวิตามินจากการซาวและเช็ดน้ำออกไปเมื่อข้าวเริ่มสุก ส่วนการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำจะไม่ต้อง สูญเสียวิตามินอีกหลังจากที่ซาวข้าวเสร็จ ซึ่งวิธีหุงข้าวแบบไม่เช็ดน้ำทำได้โดยการหุงด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้า การนึ่ง การหุงด้วยหม้อดิน ฯลฯ ดังนั้น เราควรเลือกหุงข้าวแบบไม่เช็ดน้ำเพราะเป็นวิธีหุงข้าวที่จะช่วยรักษาวิตามินในข้าวไว้ได้มากที่สุด

       (2) การต้มผักถ้าต้มในน้ำที่มากๆจะทำให้สูญเสียวิตามินมากกว่าการต้มผักในน้ำน้อยๆ



       ผักแต่ละชนิดย่อมมีปริมาณวิตามินซีต่างกัน จากแผนภูมิ ใบคะน้าจะมีวิตามินซีมากที่สุด รองลงมาคือกะหล่ำปลีและถั่วฝักยาวตามลำดับ และในผักสดจะมีวิตามินซี มากกว่าผักต้ม ในการต้มผักถ้าต้มในน้ำที่มากๆจะทำให้สูญเสียวิตามินมากกว่าการต้มผัก ในน้ำน้อยๆ

เราควรรับประทานผักสดเพราะจะทำให้ได้รับวิตามินมากกว่าผักต้ม และก่อนรับประทานเราควรล้างให้สะอาดก่อน แต่มีผักบางชนิดที่จะต้องปรุงให้สุก ก่อนรับประทาน เช่น มะเขือยาว บวบ ฟัก ฟักทอง ฯลฯ

ในการทำอาหารที่มีผักเป็นส่วนประกอบ เราจำเป็นต้องล้างผักเพื่อให้สิ่งสกปรกและสิ่งแปลกปลอม เช่น ดิน โคลน ยาฆ่าแมลง และสารเคมีอื่นๆที่ติดอยู่หลุดออกไป นอกจากนี้การล้างผักหลังจากหั่นหรือปอกเปลือกแล้ว อาจทำให้สูญเสียวิตามินบางชนิดที่ละลายน้ำได้ การที่จะรักษาสารอาหารในอาหาร วิธีการหุงต้มให้ถูกวิธีก็จะช่วยในการรักษาสารอาหารไว้ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ การรักษาสิ่งที่มีคุณค่าในอาหารยังสามารถทำได้อีกหลายวิธี เช่น
       - การเก็บรักษาผักและผลไม้ ไม่ควรเก็บไว้นานเกินไป หรือหากต้องการเก็บ ก็ควรเก็บไว้ในตู้เย็น
       - การเลือกรับประทานผักและผลไม้ ควรรับประทานผักและผลไม้สดจะดีกว่าการรับประทานผลไม้กวน ตากแห้ง เชื่อมหรือดอง
       - ผลไม้ใดที่สามารถรับประทานได้ทั้งเปลือกก็ควรรับประทานทั้งเปลือก หรือถ้าต้องปอกเปลือกก็ควรล้างก่อนปอกเปลือกแล้วรับประทานทันที
       - เนื้อสัตว์ เมื่อซื้อมาแล้วควรล้างแล้วเก็บเข้าตู้เย็น เมื่อจะรับประทานจึงนำออกมาหั่นแล้วปรุงโดยไม่ต้องล้างอีกครั้ง

- ถั่วเหลือง



ถั่วเหลือง"พืชตระกูลถั่วที่เรารู้จักกันดี ปัจจุบันได้รับความนิยมในการบริโภคกันอย่างแพร่ เนื่องจากมีประโยชน์ต่อร่างกายเพราะอุดมด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง แต่บทบาทสำคัญของถั่วเหลืองต่อสาวๆ ในยุคนี้ คือช่วยดูแลผิวพรรณ และคืนความขาวกระจ่างใสให้ผิว


คนในแถบเอเชีย ที่เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าถั่วเหลืองมีคุณประโยชน์มากมาย จนได้ชื่อว่าเป็นมหัศจรรย์แห่งเมล็ดพืช ที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เป็นทั้งแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ เช่น โปรตีนซึ่งมีส่วนประกอบถึง 50% แถมยังปราศจากคอเลสเตอรอล และยังอุดมไปด้วยวิตามินและกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงถึง 86-88% นอกจากนั้นในถั่วเหลืองยังมีสารไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบตามธรรมชาติที่พบได้ในพืช แต่มีคุณสมบัติที่คล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิง ที่เรียกว่าเอสโตรเจน(Estrogen)ซึ่งช่วยในเรื่องของสุขภาพร่างกายและผิวพรรณ ทั้งในเรื่องของโรคกระดูกพรุน โรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจและยังมีส่วนช่วยในเรื่องของการฟื้นฟูสภาพผิวอีกด้วย


ล่าสุดมีรายงานการวิจัยจากห้องปฏิบัติการ Asia-Pacific Skin Testing Center พบว่า โฟมล้างหน้าสูตรถั่วเหลืองสกัด(Essential Soy)สามารถช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นได้ในเวลาเพียง 14 วัน และช่วยบำรุงสุขภาพผิวได้อีกด้วย เนื่องจากถั่วเหลืองมีโปรตีน กรดอะมิโนและไขมันที่ล้วนแล้วแต่มีคุณประโยชน์กับผิว ถือได้ว่าเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับมหัศจรรย์แห่งเมล็ดพืชอย่างถั่วเหลือง ที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่าจะสามารถช่วยดูแลให้ผิวกระจ่างใสได้


ดร.สายรวี ศรีไชยยันต์ จากคณะเภสัชศาสตร์ คิงส์ คอลเลจ แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน(PhD, Pharmacy Department, King's College, University of London)กล่าวถึงสารสกัดจากถั่วเหลืองไว้ว่า สารสกัดจากถั่วเหลืองเป็นที่นิยมมากในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในต่างประเทศค่ะ เพราะมีรายงานทางวิชาการยืนยันประสิทธิภาพว่า สามารถช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นได้จริง ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีเพื่อผิวขาวที่น่าสนใจ


ทพ.ญ.อรุณี อุ่นสุข ทันตแพทยศาสตรบัณฑิต วิทยาศาสตรมหาบันฑิต อาจารย์พิเศษที่ปรึกษาด้านวิชาการที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับสารสกัดจากถั่วเหลืองว่า เคยอ่านงานวิจัยหลายชิ้นที่ตีพิมพ์ เผยแพร่เกี่ยวกับสารสกัดจากถั่วเหลืองไม่น่าเชื่อว่านอกจากถั่วเหลืองที่เรารับประทานเป็นอาหาร ทั้งในรูปแบบเมล็ด หรือน้ำนมถั่วเหลืองที่แสนอร่อย และมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูงแล้ว สารสกัดจากถั่วเหลืองในรูปแบบที่ใช้เพื่อบำรุงสุขภาพผิวยังช่วยลดปัญหาเรื่องขนบนใบหน้าของสาวๆ และยังพบว่ามีประสิทธิภาพในการปรับผิวให้กระจ่างใสด้วย


จะเห็นได้ว่า การใช้ประโยชน์จากถั่วเหลืองนั้นไม่ได้จำกัดแค่เพียงการรับประทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง หรือดื่มน้ำนมถั่วเหลืองเท่านั้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของถั่วเหลืองสกัด หรือเอสเซนเซียซอย เป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจในการดูแลผิวพรรณให้ขาวกระจ่างใส สุขภาพดีอีกด้วย

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

- อาหารหลัก 5 หมู่

หมู่ที่ 1 นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้งและงา

นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้งและงา เป็นแหล่ง
โปรตีนที่ดี สามารถนำไปเสริมสร้าง ร่างกายให้เจริญเติบโตและ
ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เสื่อมให้อยู่ในสภาพปกติ

ในวัยเด็ก จำเป็นอย่างนิ่งที่ต้องได้รับโปรตีนในปริมาณที่เพียง
พอ และมีคุณภาพที่ดี
วัยผู้ใหญ่ ควรเลือกกินโปรตีนที่สามารถย่อยง่ายและมีไขมันต่ำ
เช่น เนื้อปลาและเพื่อไม่ให้ ่เบื่ออาหาร ควรกินสลับกับถั่วเมล็ด
แห้งบ้าง ทำให้เกิดความหลากหลายในชนิดอาหาร

หมู่ที่ 2 ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล

ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล มีสารอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็น
แหล่งอาหารสำคัญที่ให้พลังงาน ข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือมีใยอาหาร วิตามินและ แร่ธาตุ เพื่อให้ร่างกายได้ประโยชน์มากที่สุด
ควรกินสลับกับ ผลิตภัณฑ์จากข้าวและธัญพืชอื่น ที่ให้พลังงาน
เช่นเดียวกับข้าว ได้แก่ก๋วยเตี่ยว ขนมจีน บะหมี่ วุ้นเส้น หรือแป้งต่างๆ และไม่ควรกินมากเกินความต้องการเพราะอาหารประเภท
นี้จะถูกเปลี่ยนและ เก็บสะสมไว้ในรูปของไขมันตามส่วนต่างๆ
ของร่างกาย ทำให้เกิดโรคอ้วน

หมู่ที่ 3 ผักต่างๆ

อาหารหมู่นี้ จะให้วิตามินและเกลือแร่แก่ร่างกายช่วยเสริมสร้าง
ทำให้้ร่างกายแข็งแรงมีแรงต้านทานเชื้อโรคและช่วยให้อวัยวะ
ต่างๆทำงานได้อย่างเป็นปกติ อาหารที่สำคัญของหมู่นี้ คือ ผัก
ต่างๆ เช่นตำลึง ผักบุ้ง ผักกาดและผักใบเขียวอื่นๆ นอกจากนั้น
ยังรวมถึงพืชผักอื่นๆ เช่น มะเขือ ฟักทอง ถั่วฝักยาว เป็นต้น
นอกจากนั้น อาหารหมู่นี้จะมีกากอาหารที่ถูกขับถ่ายออกมาเป็นอุจจาระทำให้ลำไส้้ทำงานเป็นปกติ


หมู่ที่ 4 ผลไม้ต่างๆ

ผลไม้ต่างๆ จะให้วิตามินและเกลือแร่ ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง
มีแรงต้านทานโรคและมีกากอาหารช่วยทำให้การขับถ่ายของ
ลำไส้เป็นปกติ อาหารที่สำคํญ ได้แก่ ผลไม้ต่างๆ เช่น กล้วย มะละกอ ส้มมังคุด ลำไย เป็นต้น





หมู่ที่ 5 ไขมันและน้ำมัน

ไขมันและน้ำมัน จะให้สารอาหารประเภทไขมันมาก จะให้พลัง
งานแก่ร่างกาย ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตร่างกายจะสะสม
พลังงานที่ได้ไว้ใต้ผิวหนังตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น
บริเวณสะโพก ต้นขา เป็นต้น ไขมันที่สะสมไว้เหล่านี้จะให้
ความอบอุ่นแก่ร่างกายและให้พลังงานที่สะสมไว้ใช้ในเวลาที่
จำเป็นระยะยาว อาหารที่สำคัญ ได้แก่
- ไขมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู รวมทั้้งไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อ
สัตว์ต่างๆด้วย
- ไขมันที่ได้จากพืช เข่น กะทิ น้ำมันรำ น้ำนมถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม เป็นต้น

- สวัสดีครับ -

นี่คือเว็บที่รวบรวมความรู้เอาไว้ให้เพื่อน หรือ บุคคลทั่วไปได้มาศึกษาหาความรู้กันนะครับ

รวมความรู้ อาหาร โภชนาการ สมอง เพศศึกษา โยคะ สุขภาพ